Sunday 19 April 2015

ฉบับเยือน Britania

When Saturday Comes

สวัสดีครับเพื่อนๆ กลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา เป็นยังไงกันบ้างครับ หลายๆคนก็คงจะได้สนุกกับการเล่นน้ำ ส่วนใครที่ไม่นิยมเปียกก็คงจะได้ใช้วันหยุดพักผ่อนอยู่บ้านเพื่อชาร์จแบตเตอร์รี่ให้ตัวเองสำหรับเตรียมลุยภารกิจต่อไป สำหรับผมแล้วนี่ก็เป็นสงกรานต์แรกในชีวิตที่ไม่ได้หยุดเหมือนคนอื่นเค้า แต่ก็ไม่เป็นไร คิดซะว่าจะได้มีเวลามากขึ้นในการเขียนบทความฉบับนี้ละกันครับ ^^

            สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเกม Premier League ก็ยังคงมีเตะตามปกติรวมไปถึง FA Cup ที่มาถึงรอบตัดเชือกแล้ว ผลเป็นอย่างไร ใครขยับขึ้นลงบนตารางบ้าง ใครจะเป็นคู่ชิงที่ Wembley นั้นก็คงจะได้ผ่านตาเพื่อนๆกันไปบ้างแล้วนะครับ ก็เรียกได้ว่าช่วงนี้เป็นโค้งสุดท้ายของฟุตบอลอังกฤษแล้วจริงๆ แต้มแต่ละแต้มช่วงนี้มีความหมายมากเป็นพิเศษ สำหรับบางทีมก็เพื่อลุ้นแชมป์ บางทีมก็เพื่อรักษาสถานะในลีกสูงสุดของตัวเองเอาไว้ แต่ละทีมก็มีเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไปครับ
 
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาผมมีนัดกับ Southampton อีกหนึ่งทีมเล็กๆจากแดนใต้ที่ยังคงต่อสู้ท่ามกลางเหล่าขาใหญ่ในลีกเมืองผู้ดี เพื่อความหวังในการไปเล่นฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีนับจากครั้งสุดท้ายที่ได้เป็นตัวแทนของประเทศไปแข่งในถ้วยใบรองของยุโรปในฤดูกาล 2003-2004 ในฐานะรองแชมป์ FA Cup (ตั้งแต่สมัยยังใช้ชื่อว่า UEFA Cup อยู่เลย)

หนังสือ Match day programme กับตั๋วนัดนี้

สำหรับการเดินทางครั้งนี้ผมใช้บริการรถไฟจาก Manchester ลงไปที่ Stoke-on-Trent โดยใช้เวลาเดินทางแค่ 40 นาทีเพราะทั้งสองเมืองอยู่ทางตอนเหนือของอังกฤษเหมือนกัน ส่วนการเดินทางจากสถานีรถไฟต่อไปยังสนาม Britania เนี่ยต้องเดินต่ออีกประมาณ 40 นาทีครับ  เพราะตัวสนามจะอยู่ออกนอกเมืองมา (พอๆกับรถไฟตอนขามาเลย ฮาฮา) ส่วนถ้าใครไม่สะดวกเดินก็สามารถใช้รถเมล์สาย 20 จากหน้าสถานีรถไฟมาลงที่สนามใช้เวลาประมาณ 10 นาทีครับ (ในเว็บไซต์สโมสรเค้าว่ามาอย่างงั้นนา)

สถานี Stoke-on-Trent

Britania Stadium บ้านของ Stoke City นั้นมีชื่อเสียงอยู่ 2 เรื่องครับคือเรื่องของเสียงเชียร์ที่ว่ากันว่าดังที่สุดในพรีเมียร์ลีกทั้งๆที่มีความจุแค่ 27,000 กว่าคน ส่วนอีกเรื่องคือลมที่นี่แรงมาก (ที่สุดในพรีเมียร์ลีกรึปล่าวไม่รู้นะ เพราะไม่เคยมีใครไปวัด ฮาฮา) ซึ่งพอมาได้เห็นตัวสนามจริงๆเลยถึงบางอ้อ เพราะตัวสนามมันตั้งอยู่บนเนินเขาลมตรงนี้ก็เลยแรงเป็นพิเศษ แรงถึงขนาดที่ว่า Arthur Boruc นายทวารของ Southampton ที่ปีนี้ถูกปล่อยยืมไปอยู่กับ Bournemouth เคยเสียท่าให้กับ Asmir Bekovic ผู้รักษาประตูของฝั่ง Stoke ที่เตะบอลจากปากประตูตัวเองข้ามหัว Boruc เข้าไปเป็นประตูมาแล้ว

Britania Stadium รังเหย้าของ Stoke City

พูดถึงสถานการณ์ 6 นัดสุดท้ายของ Southampton กันซักหน่อย ก่อนเกมนัดนี้กับ Stoke City นั้นทีมนักบุญอยู่ในอันดับ 6 ของตารางมีแต้มตามหลัง Manchester City ที่รั้งอันดับ 4 อยู่ 5 แต้ม ซึ่งแน่นอนว่าสถานการณ์แบบนี้แฟนๆนักบุญมีสิทธิ์ฝันไกลถึงการไปเตะ UCL ในฤดูกาลหน้าได้เหมือนกันเพราะหากลูกทีมของ Ronald Koeman เก็บชัยชนะได้ทั้งหมดโอกาสไปแชมเปียนลีกส์ก็มีความเป็นไปได้พอสมควรเพราะ 1 ใน 6 นัดที่ว่าเป็นการวัดกันกับเรือใบสีฟ้าในนัดสุดท้ายของฤดูกาลด้วย

อีกมุมจากสนาม Britania Stadium

ก่อนเกมที่ Britania นักข่าวที่นี่ยังมองว่า Southampton ยังเป็น 1 แคนดิเดตในการแย่งชิงตั๋วใบสุดท้ายไป UCL ฤดูกาลหน้าร่วมกับ Manchester City และ Liverpool โดยเฉพาะช่วงหลังที่เรือใบสีฟ้าแสดงอาการ ไม่เอาอ่าว ให้เห็นทำให้ทีมที่ตามหลังมามีลุ้นกันเป็นแถบ แต่ Ronald Koeman กุนซือร่างบึ้กของ Southampton กลับมองว่าโอกาสจริงๆของทีมตนเองอยู่ที่การไปเตะ Europa League มากกว่า เจ้าตัวให้สัมภาษณ์ก่อนเกมว่าโอกาสการไปเตะ UCL ยังคงมีอยู่นิดๆเสมอ (หลังจากที่นักข่าวถามว่าอาการฟอร์มเป๋ของ City ทำให้โอกาสในการเป็นเล่น UCL เปิดกว้างขึ้นหรือไม่) แต่มันก็เป็นเรื่องยากเพราะการไปเล่น UCL เป็นเรื่องของทีมใหญ่ ส่วนตัวเขารู้ระดับของทีมตัวเองดี ส่วนตัวผมเห็นด้วยกับแกนะ คือศักยภาพตัวผู้เล่นในตอนนี้ของ Southampton มันไปวัดกับอีก 2 บิ๊กทีมลำบาก การมองโลกตามความเป็นจริงจึงเป็นการลดแรงกดดันไปในตัว (แค่เท่าที่เป็นอยู่นี้ก็กดดันมากแล้ว)
Shop ภายในสนาม

สำหรับเกมนัดนี้กองเชียร์ทีมเยือนนถูกจัดให้นั่งที่ Marston's Pedigree Stand ซึ่งเป็นอัฒจันทร์หลังประตูฝั่งทิศใต้ซึ่งกันที่ครึ่งนึงไว้ให้ทีมเยือน โดยตั๋วนัดนี้ผมซื้อจากเว็บไซต์สโมสรของ Southampton สนนราคาอยู่ที่ 25 ปอนด์ครับ (คิดเป็นเงินไทยก็ราวๆ พันนิดๆ)  ข้อดีอย่างนึงของสนามฟุตบอลในอังกฤษคือทุกสนามที่ผมเคยไปเยือนมานั้นเป็น Football Stadium พูดง่ายๆก็คือรอบๆสนามจะไม่มีลู่วิ่งทำให้การนั่งหลังประตูก็ได้อรรถรสเหมือนๆกับการนั่งข้างสนามเลยครับ

มุมมองจาก Marston's Pedigree Stand

การจัด 11 คนแรกของ Southampton วันนี้มีปัญหานิดหน่อยเนื่องจากการติดโทษแบนจากการรับใบเหลืองครบกำหนดในเกมกับ Hull City ของ Victor Wanyama ห้องเครื่องสายถึก ทำให้วันนี้ Ronald Koeman ต้องขยับ Toby Alderweirald ขึ้นมายืนกลางรับจำเป็นร่วมกับ Morgan Schneiderlin แล้วส่ง Maya Yoshida กองหลังเลือดซามูไรยืนเป็นเซ็นเตอร์คู่กับ Jose Fonte กัปตันทีมโดยมี Ryan Bertrand กับ Nathaniel Clyne ขนาบข้างซ้ายขวา ส่วนในแนวรุกวันนี้ใช้สามประสานอย่าง Steven Davis, Sadio Mane, และ Dusan Tadic ที่เบียด Shane Long กลับไปนั่งสำรอง แล้วทิ้ง Graziano Pelle เป็นหน้าเป้าหลังจากที่เจ้าตัวเพิ่งทำประตูปลดล็อกให้ตัวเองในนัดที่แล้วหลังปืนฝืดมาตั้งแต่เดือนธันวาคม

ทางฝั่งเจ้าบ้านมาในระบบ 4-5-1 ผู้รักษาประตูเป็น Begovic กองหลัง 4 คนไล่จากซ้ายไปขวามี Phillipp Wollscheid, Ryan Shawcross, Erik Pieters, Geoff Cameron กองกลางมี Jonathan Walters, Marko Arnautovic, Glenn Whelan, Stephen Ireland, Stevan N’Zonzi โดยมีMame Diouf อดีตดาวดับของ Man United ยืนเป็นหัวหอก

นักเตะเดินลงสนาม

เริ่มเกมมาเป็น Stoke City ที่ 4 เกมหลังยังสะกดคำว่าชนะไม่เป็นครองเกมได้เหนือกว่า มีโอกาสได้ลุ้นเป็นระยะๆ ซึ่งวิธีการของเจ้าบ้านก็ไม่มีอะไรซับซ้อน เน้นการครอสบอลจากริมเส้นรวมถึงลูกตั้งเตะเข้าไปในกรอบเขตโทษแล้วอาศัยความสูงใหญ่ของตัวผู้เล่นเข้าโจมตี ขณะที่ทางฝั่งทีมเยือนดูเหมือนจะยังตั้งเกมของตัวเองไม่ได้ Toby Alderweirald ที่ขยับมายืนกองกลางจำเป็นดูเหมือนจะประสานงากับ Schneiderlin มากกว่าที่จะประสานงานทำให้เกมในแดนกลางของนักบุญดูจะเป็นรอง The Potters พอสมควร

Ronald Koeman แบบเห็นหลังไวๆ

เกมผ่านไป 22 นาทีกลับกลายเป็น Southampton ที่เป็นฝ่ายขึ้นนำจากลูกตั้งเตะ โดยได้ประตูจากจังหวะเล่นลูกเตะมุมทางด้านขวา Jose Fonte โฉบมาโหม่งตัดหน้ากองหลัง Stoke ที่เสาแรก บอลเลยมาเสาสอง Morgan Scheniderlin มิดฟิลด์ที่เป็นข่าวกับทีมใหญ่หลายทีมชาร์จจ่อๆเข้าไปง่ายๆ ความฝันในการไปเล่นฟุตบอลยุโรปดูเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนดีเหลือเกิน ว่ากันตามสถิติแล้วในพรีเมียร์ลีกปีนี้นักบุญยังไม่เคยแพ้แม้แต่เกมเดียวหากออกนำคู่ต่อสู้ไปก่อน

หลังจากมีประตูแรกในเกมรูปเกมกลับมาสูสีกัน โดยเจ้าถิ่นพยายามบุกหวังทวงประตูคืน แต่จังหวะสุดท้ายยังไม่ชัดเจนพอ ส่วน The Saints อาศัยความเร็วของ Mane ในจังหวะสวนกลับคอยเล่นงานกองหลัง Stoke ที่ค่อนข้างจะเชื่องช้าโดยเกือบจะได้ประตูนำห่างอยู่หลายครั้ง โดยรวมแล้ว Southampton ดูจะเป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ขณะที่กองเชียร์ที่ตามมาจากแดนใต้ราวๆ 2,000 ชีวิตร้องเพลงเตรียมไปบอลยุโรปกันแล้ว สนาม Britania เสียงดังจริงแต่เป็นเสียงของ The Saints ล้วนๆ ขณะที่กองเชียร์เจ้าบ้านนั่งเงียบเป็นป่าช้า ดูไม่เร่งเร้า ไม่กระตุ้นทีมเอาซะเลย หรือว่าเสียงเชียร์ที่ Britania จะมีแต่ชื่อ


Asmir Bekovic วันนี้เล่นได้ตามมาตรฐาน

ก่อนหมดครึ่งแรกไม่กี่อึดใจแฟนบอลเจ้าบ้านเกือบได้เฮบ้างเมื่อ Stoke City ได้ฟรีคิกก่อนเปิดบอลเข้ากรอบเขตโทษตามสเต็ป Geoff Cameron โขกเช็ดไปหน้าประตู บอลมาถึง N’Zonzi ที่แปจากระยะไม่เกิน 5 หลาออกข้างไปแบบเหลือเชื่อ อย่างไรก็ตามหลังจากได้เริ่มครึ่งหลักมาได้แค่ 2 นาทีเจ้าถิ่นก็ได้ประตูตีเสมอแบบงงๆ จากจังหวะที่ N’Zonzi เจ้าเก่าที่ไม่รู้ว่าจังหวะนี้โยนหรือยิง แต่ไม่ว่าจะโยนหรือยิงมันก็เป็นลูกที่ดูแย่เอามากๆ คือบอลมันลอยโด่งย้อยๆช้าๆเข้าหากรอบประตูแบบดูไร้พิษสงเป็นที่สุด แต่แล้ว Kelvin Davis ซึ่งลงมาทำหน้าที่แทน Fraser Foster ที่เจ็บปิดเทอมยาวไปแล้ว กลับพลิกโอกาสเป็นวิกฤติด้วยการกะจังหวะบอลพลาด (หรือจะเพราะลม) บอลที่ลอยมาแบบโด่งๆช้าๆนั้นเด้งไปชนคานก่อนตกลงมาเข้าทางปืนของ Mame Diouf ยิงเข้าไปแบบง่ายที่สุดในสามโลก กองเชียร์ The Potters เริ่มมีเสียงบ้างแล้ว ขณะที่กองเชียร์นักบุญสวนกลับไปแบบแสบๆ We Forgot that you were here เกือบลืมไปแล้วว่าพวกเอ็งอยู่ในสนามเหมือนกัน ฮาฮา

Pelle กับ Mane ความหวังในแดนหน้า

หลังจากเสียประตูไป Southampton พยายามบุกเข้าใส่อย่างหนักระลอกแล้วระลอกเล่าเพื่อหาประตูออกนำอีกครั้ง โอกาสที่ดีที่สุดมาในนาทีที่ 62 จาก Dusan Tadic ที่ยิงจากบริเวณจุดโทษกองหลัง Stoke สกัดข้ามเส้นรอดตัวหวุดหวิด หลังจากบุกอยู่นานสองนานแต่ทำไม่สำเร็จ Southampton ก็มาถูกลงโทษจากจังหวะโยนบอลเข้ากรอบเขตโทษ (อีกแล้ว) กองหลัง Southampton ที่ช่วยกันดีมาทั้งเกมสุดท้ายก็เสียท่าให้กับลูกโด่งของ Stoke City โดยสกัดลูกโยนฟรีคิกไม่ขาดบอลมาเข้าทาง Charlie Adam ฮาล์ฟวอลเลย์ในกรอบเขตโทษทางขวาบอลพุ่งวาบผ่านมือ Super Kelv เข้าไปตุงตาข่ายพร้อมกับดับความหวังในการไปเล่น UCL ของนักบุญให้จบลงแต่เพียงเท่านี้ วินาทีที่บอลซุกก้นตาข่ายมันเหมือน Britania Stadium แทบจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ เสียงเชียร์มันอื้ออึงไปหมดไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงเป็นสนามที่เสียงดังที่สุดในลีก เท่านี้ยังไม่พอท้ายเกม Southampton ยังมาเสีย Alderweirald ที่ไปปะทะกับนักเตะ Stoke จนถูกหามออกไปในช่วงทดเวลาบาดเจ็บอีกซึ่งดูแล้วไม่น่าจะหายทันเกมกับ Tottenham สัปดาห์หน้าแน่ๆ

ผู้ชมที่ Britania Stadium วันนี้เกือบเต็มความจุ


สรุปแล้วความพ่ายแพ้ในเกมนี้เป็นเกมแรกที่ Southampton ออกนำไปก่อนแต่จบลงด้วยความพ่ายแพ้ ซึ่งก็ต้องโทษตัวเองที่แสดงให้เห็นถึงความไม่นิ่ง เอง หลังเกม Ronald Koeman ออกมาบอกว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับกับความพ่ายแพ้ในนัดนี้ แต่ฟุตบอลก็แบบนี้ ถ้ามีความผิดพลาดเกิดขึ้นอีกฝ่ายก็พร้อมจะลงโทษตลอดเวลาครับ หลังจากนี้ Southampton คงต้องลุ้นให้ Liverpool ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศ FA Cup กับ Arsenal ที่ผ่าน Reading เข้าไปรอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะนั่นหมายความว่าอันดับที่ 7 บนตารางพรีเมียร์ลีกจะได้ไปเตะ Europa League ฤดูกาลหน้าทันที ซึ่งดูแล้วยังไงนักบุญก็หลุดจากอันดับ 7 ยากครับเพราะนำหน้า Swansea City ทีมในอันดับ 8 อยู่ถึง 9 คะแนนขณะที่เหลือการแข่งขันอยู่อีกแค่ 5 นัด

ส่วนเรื่อง UCL Koeman ก็ประกาศยกธงขาวไปเรียบร้อยแล้วหลังเกม ซึ่งผมก็ยกธงขาวเหมือนกันเพราะหาก City เก็บสามแต้มได้ในวันอาทิตย์นี้ช่องว่างจะกลายเป็น 8 คะแนนทันทีดูยังไงก็ไม่มีทางเลย หลังจากนี้ก็คงเหลือแค่ Manchester City กับ Liverpool ที่แย่งอีกหนึ่งโควต้าสุดท้าย

อาทิตย์หน้าเราจะยังติดตามชะตากรรมของทีมนักบุญต่อไปนะครับ โดยที่ผมจะลงใต้ไปที่ St. Mary’s เพื่อดูเกมที่ Southampton เปิดบ้านต้อนรับ Tottenham Hotspur ซึ่งหลังเกมนัดนี้เราน่าจะได้บทสรุปแบบไม่เป็นทางการแล้วล่ะว่าฤดูกาลนี้ของนักบุญแดนใต้จะจบลงแบบไหน ยังไงก็อย่าลืมติดตามกันนะครับ สำหรับใครที่อ่านแล้วมีอะไรอยากพูดคุยแลกเปลี่ยนก็ยินดีมากๆครับ  

ปล. ก่อนจะจากกันไปผมขอแสดงความยินดีกับทีมชาติไทยที่ถูกจับฉลากไปอยู่ในกลุ่มที่ มีความเป็นไปได้ มากที่สุดกลุ่มนึงในการผ่านเข้าไปเล่นรอบ 12 ทีมสุดท้าย ก็ฝากซิโก้จัดหนักๆหน่อยนะครับอยากเห็นบอลไทยไปบอลโลกซักครั้ง
ปล2. ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของโค้ชแต๊กด้วยนะครับ การจากไปของโค้ชแต๊กถือเป็นการสูญเสียบุคคลากรอันมีค่าของวงการฟุตบอลไทยเลย หลับให้สบายนะครับโค้ช

Manchester, UK
19/4/15       

No comments:

Post a Comment