สวัสดีครับเพื่อนๆทุกคน
ช่วงนี้ก็เป็นเทศกาลสงกรานต์พอดีก็ขอให้เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน
และที่สำคัญคือเมาไม่ขับนะครับ
ส่วนใครไม่ชอบออกไปเล่นน้ำด้วยเหตุผลร้อยแปดก็อยู่บ้านนั่งอ่าน When Saturday Comes แก้เหงาไปพลางๆก่อนก็ได้ครับ
(ขายของกันเลยทีเดียว แหะแหะ)
ความจริงแล้วผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะเขียนบทความฉบับนี้ตั้งแต่แรกหรอก
เนื่องจากความขี้เกียจเข้าปกคลุมประกอบกับเพิ่งเขียนเรื่องราวตอนไปเยือน White Hart Lane มา
ผมก็เลยตั้งใจว่าอาทิตย์นี้จะขอนั่งดูบอลเพลินๆอย่างเดียวเพื่อความไม่เหนื่อย ฮาฮา
แต่หลังจากจบเกมส์ Manchester Derby Match ซึ่ง ปีศาจแดงโชว์ฟอร์มโหดไล่ถล่มเพื่อบ้านผู้น่ารำคาญอย่างเรือใบสีฟ้าคาโรงละครแห่งความฝันไปด้วยสกอร์
4-2 มันเหมือนเป็นพลังงานบางอย่างที่กระตุ้นให้สาวกอสูรอย่างผมต้องลุกขึ้นมาทำหน้าที่ของสาวกที่ดีด้วยการทะเลาะกับ
Keyboard เพื่อร่วมสรรเสริญ
ฟอร์มอันน่าสยดสยองของเหล่าขุนพล Red Devils โดยพลัน
ว่าแล้วก็บอกกับตัวเองว่าจะต้องเขียนบทความฉบับนี้ให้ร้อนแรงเหมือนฟอร์มของปีศาจแดงให้จงด้ายยยย!!
ก่อนอื่นต้องขอบอกว่าเกมนัดนี้ผมไม่ได้ไปดูที่สนามนะครับ
เหตุผลก็คือเกมใหญ่ๆแบบนี้ความต้องการตั๋วจะสูงลิบลิ่วทางสโมสรจึงใช้ระบบการจับฉลากในหมู่มวลสมาชิกเพื่อหาผู้โชคดีเข้าไปดูเกมในสนาม
(ต้องจ่ายค่าบัตรตามปกติ)
ซึ่งผลออกมาว่าผมเป็นผู้โชคไม่ดีเลยได้สิทธินั่งเชียร์อยู่ที่บ้านไปตามระเบียบ =*=
ไว้ยังไงถ้ามีโอกาสผมจะมาเขียนเรื่องวิธีการซื้อตั๋วของสโมสร Manchester United ให้ได้อ่านกันนะครับ
สำหรับศึกชิงเมืองรอบนี้มันไม่ใช่เรื่องของศักดิ์ศรีเพียงอย่างเดียว
แต่ยังรวมถึงอนาคตการไปเล่นฟุตบอลยุโรปของทั้งสองบิ๊กทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์อีกด้วย
เนื่องจากก่อนเกมทีมจากมุมแดงอยู่ในอันดับที่สาม
ส่วนทีมจากมุมน้ำเงินอยู่บนอันดับที่สี่ซึ่งเป็นอันดับสุดท้ายที่จะได้ไปเล่น UCL ทั้งสองทีมมีแต้มห่างจาก
Southampton ทีมอันดับ 5 อยู่ 4 และ 5 คะแนนตามลำดับ เพราะฉะนั้น
หากเกมนี้ใครแพ้มันหมายถึงการต้องไปดิ้นรนแย่งอันดับที่ 4 อย่างเต็มตัว เพราะนอกจากนักบุญแล้วยังมี Liverpool ที่หากเก็บสามแต้มในเกม Monday night ได้จะตามหลังแค่ 4 หรือ 5 แต้มทันทีเรียกได้ว่าใครแพ้มาก็ล่อแหลมทันที
สถิติการพบกันก่อนเกมในทุกรายการของสองทีมนี้บ่งบอกว่า
ปีศาจแดงเหนือกว่านิดๆ โดยเป็นฝ่ายเอาชนะได้ 65 นัดเสมอ 49 นัดและเป็นฝ่ายเพี่ยงพล้ำไป
45 นัด
แต่พอเอาเข้าจริงสถิติพวกนี้ก็บอกอะไรเราไม่ได้มากนักเพราะ City โฉมใหม่ภายใต้ กลุ่มทุนจากดูไบต่างจากอดีตชนิดที่เรียกได้ว่าโหดกว่าเดิมเยอะ
จากสถิติการเจอกัน 4 นัดหลังสุด
เป็นเรือใบสีฟ้าเอาชนะได้ทั้งหมด แถมฤดูกาลที่แล้ว Manchester City ยังผงาดคว้าแชมป์ลีกได้อีก (แบบที่ฝั่ง United เองก็พอใจเพราะดีกว่าเห็นคู่ปรับเบอร์ 1 ตลอดกาลอย่าง Liverpool ได้แชมป์
อันนี้แฟนบอลที่นี่เค้าว่างี้นะ) ก็เป็นการบอกกลายๆว่า เมือง Manchester ตอนนี้ได้กลายเป็นสีฟ้าไปแล้วนะเห้ย
ก่อนเกมจะเริ่มขึ้นสื่อต่างๆรวมถึงร้านรับพนันที่นี่ยกให้
United เป็นต่อนิดๆด้วยอานิสงส์ของการได้เล่นในบ้าน
รวมถึงผลงานช่วงหลังที่ดูดีมีชาติตระกูลกว่า City เกมนี้ Manchester United มาในระบบ 4-4-1-1 ที่พวกเขาทำได้ดีในช่วงหลัง
โดยแผงแบ็คโฟร์เป็น Valencia Smalling Jones Blind กองกลางมี Mata Carrick Herrera Young คอยขับเคลื่อน Fellaini เล่นเป็นหน้าต่ำ
ซึ่งเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะเล่นดีในตำแหน่งนี้เป็นพิเศษ ส่วนกัปตันทีม Rooney เล่นเป็นหน้าเป้า
ทางฝั่งทีมเยือนมาแบบเต็มสูบเช่นกันไล่จากผู้รักษาประตูเป็น Joe Hart กองหลังมี Zabaleta Kompany Demichelis Clichy กองกลาง
5 คนใช้ Navas Toure Fernandinho Milner Silva ส่วนกองหน้าทิ้ง Sergio Aguero ไว้คอยเล่นงานแนวรับเจ้าบ้าน ก่อนเกมของ Louis Van Gaal ออกมาให้สัมภาษณ์ว่ามันคงเหมือนฝันเลยหากเขานำลูกทีมเอาชนะคู่ปรับร่วมเมืองได้
ซึ่งก็เหมือนเป็นการสะท้อนบิ๊กบอสผีแดงมองว่ามันต้องยากส์แน่นอน และก็เหมือนว่ามันจะยากจริงๆเมื่อ
City ได้ประตูออกนำไปก่อนตั้งแต่ไก่โห่จาก Sergio Aguero ดาวซัลโวของทีมในนาทีที่ 8 ลูกนี้ต้องชม David Silva ที่ลากไปทางซ้ายจนสุดเส้นหลังก่อนตบเข้ามาหน้าประตูให้กองหน้าชาวอาร์เจนไตน์ชาร์จง่ายๆ
เป็นประตูที่ 17 ในลีกของเจ้าตัว จริงๆก่อนหน้านี้ United ก็จวนเจียนจะเสียประตูอยู่หลายครั้งซึ่งหลังเกม LVG ก็ออกมายอมรับว่าช่วนต้นเกมนักเตะในทีมมีอาการประหม่าจนไม่อยู่ในเกมของตัวเอง
หลังจากเสียประตูแรกไป Manchester United ค่อยๆตั้งเกมได้ทีละน้อย
ส่วนเรือใบสีฟ้าแทนที่จะเดินหน้าบุกขยี้ตอนที่เจ้าบ้านกำลังเสียขบวน
กลับผ่อนเกมลงไปซะอย่างงั้น
จุดเปลี่ยนของเกมนี้เกิดขึ้นในอีก 5 นาทีถัดมาเมื่อมาได้ประตูตีเสมอจาก Ashley Young ซึ่งชาร์จลูกเปิดของ Daley Blind จังหวะแรกไปติดกองหลังก่อนจะมีโชคช่วยบอลกระดอนมาเข้าทางอีกทีซึ่งคราวนี้ไม่มีพลาดเจ้าบ้านตามตีเสมอได้สำเร็จ
(บอกแล้วอย่าให้อาจารย์ยังเอาจริง ฮาฮา)
ที่ผมมองว่าจังหวะนี้เป็นจุดเปลี่ยนของเกมก็เพราะการที่ปีศาจแดงได้ประตูตีเสมอเร็วทำให้อะไรๆก็เทมาทางฝั่งเจ้าบ้านหมด
และก็เป็น Young เจ้าเก่าที่เปิดจากทางซ้ายไปเสาสองให้พี่ฟู Fellaini โขกทำประตูสมฉายาเจ้าเวหา
(บอกแล้วอย่าให้อาจารย์ยังเอาจริง) United 2 City 1 เมื่อเวลาผ่านไป 27 นาที หลังจากนั้น เจ้าบ้านก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ส่วนเรือใบพันล้านยิ่งเล่นยิ่งยุบโดยเฉพาะแดนกลางที่หลายครั้งปล่อยให้
Midfield เจ้าถิ่นเล่นกันสบายใจเฉิบ โดยเฉพาะ Yaya Toure ที่เป็นหัวใจสำคัญของทีมกลับโชว์ผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐานจน
Gary Neville ซึ่งตอนนี้รับหัวโขนเป็นนักวิเคราะห์ของ Sky Sport ออกมาตั้งคำถามถึงความทุ่มเทของเจ้าตัวว่าเล่นเหมือนกับใจลอยไปอยู่ที่อื่นแล้วยังไงอย่างงั้น
จบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์ 2-1 ซึ่งก็ต้องบอกว่า
Manchester City โชคดีที่ไม่โดนเพิ่มรวมถึงโชคดีที่ยังมีผู้เล่นออกสตาร์ทครึ่งหลังครบ 11
คนหลังจาก Kompany ไปสไลด์เปิดปุ่มแบบน่าเกลียด
แต่ท่านเปากลับวินิจฉัยออกมาเป็นใบเหลืองแก่ๆ (ตามสไตล์คุณลุงเค้า ฮาฮา) ซึ่งไม่รู้เพราะเหตุการณ์นี้รึปล่าว Pellegrini กุนซือ Man City เลยเปลี่ยน Kompany ซึ่งเป็นกัปตันทีมออกไปตั้งแต่เริ่มครึ่งหลัง
ครึ่งหลังแก้เกมกันกลับมาแต่เกมของทีมเยือนยังไม่กระเตื้องผิดกลับฟากสีแดงที่ดูเหมือนได้ใจบุกเข้าใส่อย่างต่อเนื่องจนมาได้เพิ่มอีก
2 ประตูจากประตูปัญหาของ Juan Mata ผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
หลังจากเป็นส่วนหนึ่งของการทดลองถูกจับดองอยู่ข้างสนามกว่าครึ่งฤดูกาล และ Chris
Smalling ซึ่งขึ้นมาโหม่งลูกฟรีคิกเป็นประตูที่ 4 ให้ Man United นำห่างแบบสุดลูกหูลูกตา ก่อนที่ The Citizen จะมาได้ประตูกู้หน้าจาก
El Kun เจ้าเก่าซึ่งประตูนี้ทำให้ประตูรวม Aguero เพิ่มเป็น 18 ลูกไล่จี้ Diego Costa และ Harry Kane ในศึกชิงดาวซัลโวเพียงแค่ลูกเดียว
เกมจบลงด้วย 4 ประตูของ United พร้อมกับ 4 แต้มที่ทิ้งห่าง Man City ที่จมอยู่อันดับ 4 ออกไปพร้อมทั้งหยุดความปราชัย 4 เกมรวดต่อเพื่อนบ้านผู้น่ารำคาญผู้นี้
เบื้องหลังชัยชนะของปีศาจแดงในนัดนี้ก็คงต้องบอกว่าเป็นเนื่องของความมั่นใจ
และ ความลงตัว ก่อนหน้าที่เข้าสู่ช่วง 5 นัดอันตราย
Man United ในตอนนั้นอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมต่อการชวดไปเล่นในถ้วยใบใหญ่เป็นปีที่สองติดต่อกันมากเพราะ
ทีมที่ตามหลังมาอย่าง Liverpool กับ Tottenham
กำลังมาแรงมากส่วนUnited เพิ่งกระเด็นตกรอบ FA cup ด้วยน้ำมือ
Arsenal มาหมาดๆ ใครๆก็มองว่าโอกาสของผีแดง 50/50 แต่หลังจากผ่านทีละเกมกับ Tottenham,
Liverpool, Manchester City ด้วยชัยชนะมาเรื่อยๆทำให้กำลังใจมีมากขึ้นๆจนตอนนี้เรียกได้ว่าโอกาสไป
UCL อยู่ใกล้แค่เอื้อม อีกคนที่ต้องให้เครดิตคือ LVG ที่แกหาจุดสมดุลของแกเจอซะที
(หวังว่าหลังจากนี้แกจะไม่ทำอะไรแผลงๆอีก) การเอา Rooney
กลับมายืนหน้าเป้าโดยที่มี
Fellaini
อยู่ด้านหลังเป็นอะไรที่ลงตัวมากๆ
เพราะพี่ฟูเรานอกจากจะโขกเก่งแล้วแกยังเก็บบอลได้อีกด้วยทำให้ กัปตันหมูหมดภาระเรื่องการลงมาเก็บบอลล้วงบอล
นอกจากนั้นคือการจับเอา Jaun Mata กลับลงมาเป็นตัวจริงแทนที่
Angel Di Maria ซึ่งทำให้เกมในแดนกลางไหลลื่นมากขึ้นด้วยความที่
Mata เป็นคนที่เชื่อมเกมจากกลางไปหน้าได้ดีกว่านั่นเอง
มันน่าแปลกใจตรงที่ 11 คนแรกของ United
ที่ลงทำศึกชิงเมืองเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาเปลี่ยนจากยุค
Moyes ไปแค่ 2 คนเท่านั้นเองคือ Blind และ Herrera
ซึ่งตัวที่คาดว่าจะเป็นความหวังเมื่อต้นฤดูกาลอย่าง Di
Maria และ Falcao เป็นแค่ตัวสำรองอยู่ข้างสนามด้วยซ้ำ
ตรงนี้น่าจะพอบอกอะไรได้บางอย่างว่าจริงๆแล้วปัญหาของ United มันอาจไม่ใช่เรื่องของศักยภาพตัวผู้เล่นก็ได้ เพียงแค่ว่าจะทำยังไงถึงจะรีดออกมาให้ได้มาที่สุดเหมือนที่
Sir Alex Ferguson ทำได้มาโดยตลอดก็เท่านั้นเอง
หลังจบเกม Manchester United ทำคะแนนทิ้งห่างอันดับ 5 ออกไป 8-9 แต้มเรียกว่า 6 นัดสุดท้ายถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุทางฟุตบอลขึ้น
ปีศาจแดงภายใต้มันสมองของ LVG (และสองมือของ David De Gea) จะกลับไปโลดแล่นในเวทียุโรปที่คุ้นเคยอย่างแน่นอน
ส่วนชะตากรรมของ Manchester City ไม่ได้สดใสซาบซ่าเหมือนของอริตลอดกาล พวกเขามีแต้มห่างทีมอันดับ 5 อย่าง Liverpool อยู่แค่ 4 คะแนนทั้งๆที่พวกเขาเคยมีแต้มทิ้งห่างหงส์แดงอยู่ถึง
17 แต้ม!! เมื่อรวมกับฟอร์มช่วงหลังที่น่าละเหี่ยใจของเรือใบสัญชาติอาหรับ
(แพ้ ไปถึง 4 เกมจาก 5เกมหลังสุด) ก็ต้องบอกว่านาทีนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้แล้วล่ะครับ
ส่วนอนาคตของ Pellegrini คงรอดยากแล้วล่ะผลงานไม่เอาอ่าวขนาดนี้รวมถึงหลายครั้งที่ลูกทีมแสดงให้เห็นถึงอาการไม่เอาด้วยบางทีหลังจบฤดูกาลนี้เรือใบลำนี้อาจมีการเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ก็เป็นได้
เพราะจะว่าไปแล้วนักเตะชุดนี้ก็เป็นแกนหลักที่ประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ลีกถึง 2 สมัยอาจจะถึงจุดอิ่มตัวแล้วก็เป็นได้
ทิ้งท้ายก่อนจะจากกันไปด้วยคำสัมภาษณ์ของ
LVG ว่า Manchester United is the pride of Manchester. We are this
moment four points ahead so that is a fact. ก่อนหน้านี้จะยังไงไม่รู้แต่ตอนนี้ Manchester สีแดงแน่นอนนะฮะท่านผู้ชม!!
Manchester, UK
13/04/2015
No comments:
Post a Comment