Monday 13 April 2015

เมื่อแมนเชสเตอร์เป็นสีแดง

When Saturday Comes





สวัสดีครับเพื่อนๆทุกคน ช่วงนี้ก็เป็นเทศกาลสงกรานต์พอดีก็ขอให้เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน และที่สำคัญคือเมาไม่ขับนะครับ ส่วนใครไม่ชอบออกไปเล่นน้ำด้วยเหตุผลร้อยแปดก็อยู่บ้านนั่งอ่าน When Saturday Comes แก้เหงาไปพลางๆก่อนก็ได้ครับ (ขายของกันเลยทีเดียว แหะแหะ)
               ความจริงแล้วผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะเขียนบทความฉบับนี้ตั้งแต่แรกหรอก เนื่องจากความขี้เกียจเข้าปกคลุมประกอบกับเพิ่งเขียนเรื่องราวตอนไปเยือน White Hart Lane มา ผมก็เลยตั้งใจว่าอาทิตย์นี้จะขอนั่งดูบอลเพลินๆอย่างเดียวเพื่อความไม่เหนื่อย ฮาฮา แต่หลังจากจบเกมส์ Manchester Derby Match ซึ่ง ปีศาจแดงโชว์ฟอร์มโหดไล่ถล่มเพื่อบ้านผู้น่ารำคาญอย่างเรือใบสีฟ้าคาโรงละครแห่งความฝันไปด้วยสกอร์ 4-2 มันเหมือนเป็นพลังงานบางอย่างที่กระตุ้นให้สาวกอสูรอย่างผมต้องลุกขึ้นมาทำหน้าที่ของสาวกที่ดีด้วยการทะเลาะกับ Keyboard เพื่อร่วมสรรเสริญ ฟอร์มอันน่าสยดสยองของเหล่าขุนพล Red Devils โดยพลัน ว่าแล้วก็บอกกับตัวเองว่าจะต้องเขียนบทความฉบับนี้ให้ร้อนแรงเหมือนฟอร์มของปีศาจแดงให้จงด้ายยยย!!
               ก่อนอื่นต้องขอบอกว่าเกมนัดนี้ผมไม่ได้ไปดูที่สนามนะครับ เหตุผลก็คือเกมใหญ่ๆแบบนี้ความต้องการตั๋วจะสูงลิบลิ่วทางสโมสรจึงใช้ระบบการจับฉลากในหมู่มวลสมาชิกเพื่อหาผู้โชคดีเข้าไปดูเกมในสนาม (ต้องจ่ายค่าบัตรตามปกติ) ซึ่งผลออกมาว่าผมเป็นผู้โชคไม่ดีเลยได้สิทธินั่งเชียร์อยู่ที่บ้านไปตามระเบียบ =*= ไว้ยังไงถ้ามีโอกาสผมจะมาเขียนเรื่องวิธีการซื้อตั๋วของสโมสร Manchester United ให้ได้อ่านกันนะครับ
               สำหรับศึกชิงเมืองรอบนี้มันไม่ใช่เรื่องของศักดิ์ศรีเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงอนาคตการไปเล่นฟุตบอลยุโรปของทั้งสองบิ๊กทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์อีกด้วย เนื่องจากก่อนเกมทีมจากมุมแดงอยู่ในอันดับที่สาม ส่วนทีมจากมุมน้ำเงินอยู่บนอันดับที่สี่ซึ่งเป็นอันดับสุดท้ายที่จะได้ไปเล่น UCL ทั้งสองทีมมีแต้มห่างจาก Southampton ทีมอันดับ 5 อยู่ 4 และ 5 คะแนนตามลำดับ เพราะฉะนั้น หากเกมนี้ใครแพ้มันหมายถึงการต้องไปดิ้นรนแย่งอันดับที่ 4 อย่างเต็มตัว เพราะนอกจากนักบุญแล้วยังมี Liverpool ที่หากเก็บสามแต้มในเกม Monday night ได้จะตามหลังแค่ 4 หรือ 5 แต้มทันทีเรียกได้ว่าใครแพ้มาก็ล่อแหลมทันที
               สถิติการพบกันก่อนเกมในทุกรายการของสองทีมนี้บ่งบอกว่า ปีศาจแดงเหนือกว่านิดๆ โดยเป็นฝ่ายเอาชนะได้ 65 นัดเสมอ 49 นัดและเป็นฝ่ายเพี่ยงพล้ำไป 45 นัด แต่พอเอาเข้าจริงสถิติพวกนี้ก็บอกอะไรเราไม่ได้มากนักเพราะ City โฉมใหม่ภายใต้ กลุ่มทุนจากดูไบต่างจากอดีตชนิดที่เรียกได้ว่าโหดกว่าเดิมเยอะ จากสถิติการเจอกัน 4 นัดหลังสุด เป็นเรือใบสีฟ้าเอาชนะได้ทั้งหมด แถมฤดูกาลที่แล้ว Manchester City ยังผงาดคว้าแชมป์ลีกได้อีก (แบบที่ฝั่ง United เองก็พอใจเพราะดีกว่าเห็นคู่ปรับเบอร์ 1 ตลอดกาลอย่าง Liverpool ได้แชมป์ อันนี้แฟนบอลที่นี่เค้าว่างี้นะ) ก็เป็นการบอกกลายๆว่า เมือง Manchester ตอนนี้ได้กลายเป็นสีฟ้าไปแล้วนะเห้ย
               ก่อนเกมจะเริ่มขึ้นสื่อต่างๆรวมถึงร้านรับพนันที่นี่ยกให้ United เป็นต่อนิดๆด้วยอานิสงส์ของการได้เล่นในบ้าน รวมถึงผลงานช่วงหลังที่ดูดีมีชาติตระกูลกว่า City  เกมนี้ Manchester United มาในระบบ 4-4-1-1 ที่พวกเขาทำได้ดีในช่วงหลัง โดยแผงแบ็คโฟร์เป็น Valencia Smalling Jones Blind กองกลางมี Mata Carrick Herrera Young คอยขับเคลื่อน Fellaini เล่นเป็นหน้าต่ำ ซึ่งเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะเล่นดีในตำแหน่งนี้เป็นพิเศษ ส่วนกัปตันทีม Rooney เล่นเป็นหน้าเป้า ทางฝั่งทีมเยือนมาแบบเต็มสูบเช่นกันไล่จากผู้รักษาประตูเป็น Joe Hart กองหลังมี Zabaleta Kompany Demichelis Clichy กองกลาง 5 คนใช้ Navas Toure Fernandinho Milner Silva ส่วนกองหน้าทิ้ง Sergio Aguero ไว้คอยเล่นงานแนวรับเจ้าบ้าน ก่อนเกมของ Louis Van Gaal ออกมาให้สัมภาษณ์ว่ามันคงเหมือนฝันเลยหากเขานำลูกทีมเอาชนะคู่ปรับร่วมเมืองได้ ซึ่งก็เหมือนเป็นการสะท้อนบิ๊กบอสผีแดงมองว่ามันต้องยากส์แน่นอน และก็เหมือนว่ามันจะยากจริงๆเมื่อ City ได้ประตูออกนำไปก่อนตั้งแต่ไก่โห่จาก Sergio Aguero ดาวซัลโวของทีมในนาทีที่ 8 ลูกนี้ต้องชม David Silva ที่ลากไปทางซ้ายจนสุดเส้นหลังก่อนตบเข้ามาหน้าประตูให้กองหน้าชาวอาร์เจนไตน์ชาร์จง่ายๆ เป็นประตูที่ 17 ในลีกของเจ้าตัว จริงๆก่อนหน้านี้ United ก็จวนเจียนจะเสียประตูอยู่หลายครั้งซึ่งหลังเกม LVG ก็ออกมายอมรับว่าช่วนต้นเกมนักเตะในทีมมีอาการประหม่าจนไม่อยู่ในเกมของตัวเอง หลังจากเสียประตูแรกไป Manchester United ค่อยๆตั้งเกมได้ทีละน้อย ส่วนเรือใบสีฟ้าแทนที่จะเดินหน้าบุกขยี้ตอนที่เจ้าบ้านกำลังเสียขบวน กลับผ่อนเกมลงไปซะอย่างงั้น
               จุดเปลี่ยนของเกมนี้เกิดขึ้นในอีก 5 นาทีถัดมาเมื่อมาได้ประตูตีเสมอจาก Ashley Young ซึ่งชาร์จลูกเปิดของ Daley Blind จังหวะแรกไปติดกองหลังก่อนจะมีโชคช่วยบอลกระดอนมาเข้าทางอีกทีซึ่งคราวนี้ไม่มีพลาดเจ้าบ้านตามตีเสมอได้สำเร็จ (บอกแล้วอย่าให้อาจารย์ยังเอาจริง ฮาฮา) ที่ผมมองว่าจังหวะนี้เป็นจุดเปลี่ยนของเกมก็เพราะการที่ปีศาจแดงได้ประตูตีเสมอเร็วทำให้อะไรๆก็เทมาทางฝั่งเจ้าบ้านหมด และก็เป็น Young เจ้าเก่าที่เปิดจากทางซ้ายไปเสาสองให้พี่ฟู Fellaini โขกทำประตูสมฉายาเจ้าเวหา (บอกแล้วอย่าให้อาจารย์ยังเอาจริง) United 2 City 1 เมื่อเวลาผ่านไป 27 นาที หลังจากนั้น เจ้าบ้านก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ส่วนเรือใบพันล้านยิ่งเล่นยิ่งยุบโดยเฉพาะแดนกลางที่หลายครั้งปล่อยให้ Midfield  เจ้าถิ่นเล่นกันสบายใจเฉิบ โดยเฉพาะ Yaya Toure ที่เป็นหัวใจสำคัญของทีมกลับโชว์ผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐานจน Gary Neville ซึ่งตอนนี้รับหัวโขนเป็นนักวิเคราะห์ของ Sky Sport ออกมาตั้งคำถามถึงความทุ่มเทของเจ้าตัวว่าเล่นเหมือนกับใจลอยไปอยู่ที่อื่นแล้วยังไงอย่างงั้น จบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์ 2-1 ซึ่งก็ต้องบอกว่า Manchester City โชคดีที่ไม่โดนเพิ่มรวมถึงโชคดีที่ยังมีผู้เล่นออกสตาร์ทครึ่งหลังครบ 11 คนหลังจาก Kompany ไปสไลด์เปิดปุ่มแบบน่าเกลียด แต่ท่านเปากลับวินิจฉัยออกมาเป็นใบเหลืองแก่ๆ (ตามสไตล์คุณลุงเค้า ฮาฮา)  ซึ่งไม่รู้เพราะเหตุการณ์นี้รึปล่าว Pellegrini กุนซือ Man City เลยเปลี่ยน Kompany ซึ่งเป็นกัปตันทีมออกไปตั้งแต่เริ่มครึ่งหลัง
               ครึ่งหลังแก้เกมกันกลับมาแต่เกมของทีมเยือนยังไม่กระเตื้องผิดกลับฟากสีแดงที่ดูเหมือนได้ใจบุกเข้าใส่อย่างต่อเนื่องจนมาได้เพิ่มอีก 2 ประตูจากประตูปัญหาของ Juan Mata ผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ หลังจากเป็นส่วนหนึ่งของการทดลองถูกจับดองอยู่ข้างสนามกว่าครึ่งฤดูกาล และ Chris Smalling ซึ่งขึ้นมาโหม่งลูกฟรีคิกเป็นประตูที่ 4 ให้ Man United นำห่างแบบสุดลูกหูลูกตา ก่อนที่ The Citizen จะมาได้ประตูกู้หน้าจาก El Kun เจ้าเก่าซึ่งประตูนี้ทำให้ประตูรวม Aguero เพิ่มเป็น 18 ลูกไล่จี้ Diego Costa และ Harry Kane ในศึกชิงดาวซัลโวเพียงแค่ลูกเดียว เกมจบลงด้วย 4 ประตูของ United พร้อมกับ 4 แต้มที่ทิ้งห่าง Man City ที่จมอยู่อันดับ 4 ออกไปพร้อมทั้งหยุดความปราชัย 4 เกมรวดต่อเพื่อนบ้านผู้น่ารำคาญผู้นี้
                 เบื้องหลังชัยชนะของปีศาจแดงในนัดนี้ก็คงต้องบอกว่าเป็นเนื่องของความมั่นใจ และ ความลงตัว ก่อนหน้าที่เข้าสู่ช่วง 5 นัดอันตราย Man United ในตอนนั้นอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมต่อการชวดไปเล่นในถ้วยใบใหญ่เป็นปีที่สองติดต่อกันมากเพราะ ทีมที่ตามหลังมาอย่าง Liverpool กับ Tottenham กำลังมาแรงมากส่วนUnited  เพิ่งกระเด็นตกรอบ FA cup ด้วยน้ำมือ Arsenal มาหมาดๆ ใครๆก็มองว่าโอกาสของผีแดง 50/50 แต่หลังจากผ่านทีละเกมกับ Tottenham, Liverpool, Manchester City ด้วยชัยชนะมาเรื่อยๆทำให้กำลังใจมีมากขึ้นๆจนตอนนี้เรียกได้ว่าโอกาสไป UCL อยู่ใกล้แค่เอื้อม อีกคนที่ต้องให้เครดิตคือ LVG ที่แกหาจุดสมดุลของแกเจอซะที (หวังว่าหลังจากนี้แกจะไม่ทำอะไรแผลงๆอีก) การเอา Rooney กลับมายืนหน้าเป้าโดยที่มี Fellaini อยู่ด้านหลังเป็นอะไรที่ลงตัวมากๆ เพราะพี่ฟูเรานอกจากจะโขกเก่งแล้วแกยังเก็บบอลได้อีกด้วยทำให้ กัปตันหมูหมดภาระเรื่องการลงมาเก็บบอลล้วงบอล นอกจากนั้นคือการจับเอา Jaun Mata กลับลงมาเป็นตัวจริงแทนที่ Angel Di Maria ซึ่งทำให้เกมในแดนกลางไหลลื่นมากขึ้นด้วยความที่ Mata เป็นคนที่เชื่อมเกมจากกลางไปหน้าได้ดีกว่านั่นเอง มันน่าแปลกใจตรงที่ 11 คนแรกของ United ที่ลงทำศึกชิงเมืองเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาเปลี่ยนจากยุค Moyes ไปแค่ 2 คนเท่านั้นเองคือ Blind และ Herrera ซึ่งตัวที่คาดว่าจะเป็นความหวังเมื่อต้นฤดูกาลอย่าง Di Maria และ Falcao เป็นแค่ตัวสำรองอยู่ข้างสนามด้วยซ้ำ ตรงนี้น่าจะพอบอกอะไรได้บางอย่างว่าจริงๆแล้วปัญหาของ United มันอาจไม่ใช่เรื่องของศักยภาพตัวผู้เล่นก็ได้ เพียงแค่ว่าจะทำยังไงถึงจะรีดออกมาให้ได้มาที่สุดเหมือนที่ Sir Alex Ferguson ทำได้มาโดยตลอดก็เท่านั้นเอง  
               หลังจบเกม Manchester United ทำคะแนนทิ้งห่างอันดับ 5 ออกไป 8-9 แต้มเรียกว่า 6 นัดสุดท้ายถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุทางฟุตบอลขึ้น ปีศาจแดงภายใต้มันสมองของ LVG (และสองมือของ David De Gea) จะกลับไปโลดแล่นในเวทียุโรปที่คุ้นเคยอย่างแน่นอน ส่วนชะตากรรมของ Manchester City ไม่ได้สดใสซาบซ่าเหมือนของอริตลอดกาล พวกเขามีแต้มห่างทีมอันดับ 5 อย่าง Liverpool อยู่แค่ 4 คะแนนทั้งๆที่พวกเขาเคยมีแต้มทิ้งห่างหงส์แดงอยู่ถึง 17 แต้ม!! เมื่อรวมกับฟอร์มช่วงหลังที่น่าละเหี่ยใจของเรือใบสัญชาติอาหรับ (แพ้ ไปถึง 4 เกมจาก 5เกมหลังสุด) ก็ต้องบอกว่านาทีนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้แล้วล่ะครับ ส่วนอนาคตของ Pellegrini คงรอดยากแล้วล่ะผลงานไม่เอาอ่าวขนาดนี้รวมถึงหลายครั้งที่ลูกทีมแสดงให้เห็นถึงอาการไม่เอาด้วยบางทีหลังจบฤดูกาลนี้เรือใบลำนี้อาจมีการเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ก็เป็นได้ เพราะจะว่าไปแล้วนักเตะชุดนี้ก็เป็นแกนหลักที่ประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ลีกถึง 2 สมัยอาจจะถึงจุดอิ่มตัวแล้วก็เป็นได้

               ทิ้งท้ายก่อนจะจากกันไปด้วยคำสัมภาษณ์ของ LVG ว่า Manchester United is the pride of Manchester. We are this moment four points ahead so that is a fact. ก่อนหน้านี้จะยังไงไม่รู้แต่ตอนนี้ Manchester สีแดงแน่นอนนะฮะท่านผู้ชม!!  

Manchester, UK
13/04/2015  

No comments:

Post a Comment