Saturday 25 April 2015

ฉบับเยือน St.Mary's

When Saturday Comes       

สวัสดีครับเพื่อนๆ วันเสาร์ที่ผ่านมาผมมีนัดกับ Southampton อีกครั้งครับ คราวนี้ผมเดินทางไปกลับร่วมๆ 800 กิโลเมตรจากเหนือลงใต้ เพื่อไปให้กำลังใจนักบุญทำศึกนัดสำคัญกับ Tottenham Hotspur โดยเกมนี้มีโอกาสการไปเล่นฟุตบอลยุโรปในปีหน้าเป็นเดิมพัน
ภายในรถโค้ช เบาะหนังนั่งสบาย

               ก่อนเกมนัดนี้มีเรื่องให้น่าพูดถึงนิดนึงคือเกม FA Cup รอบรองชนะเลิศที่ Liverpool พลิกล็อกแพ้ให้กับ Aston Villa ตกรอบไปแบบช็อควงการ ซึ่งเกมนัดนั้นนอกจาก Steven Gerrard ที่อกหักอดฉลองวันเกิดที่ Wembley แล้วแฟนๆนักบุญก็ผิดหวังไม่แพ้กัน เพราะถ้า FA Cup final เป็น Arsenal ชิงกับ Liverpool ตั๋วใบสุดท้ายไปเล่น Europa League จะเด้งกลับมาเป็นของทีมอันดับ 7 ในลีกทันทีซึ่งดูแล้วปีนี้นักบุญน่าจะจบอันดับ 7 เป็นอย่างน้อย แต่พอสถานกาณ์กลับตาลปัตรแบบนี้การต่อสู้แย่งอันดับ 6 เลยดุเดือดขึ้นมาทันทีเพราะนั่นหมายถึงการการันตีไปเล่นฟุตบอลยุโรปโดยไม่ต้องไปสนใจว่าใครจะเป็นแชมป์ FA Cup (ปีนี้ทาง Premier League เปลี่ยนกฎไม่ให้สิทธิรองแชมป์ FA Cup แล้วนะครับ)

ภายในตัวเมือง Southampton

               การเดินทางลงใต้คราวนี้ผมใช้บริการรถโค้ชครับ เหตุผลสั้นๆง่ายๆก็คือมันถูก (ไปกลับประมาณ 30 ปอนด์) แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการนั่งเปื่อยอยู่บนรถร่วมๆ 8 ชั่วโมง ก็อาศัยว่าออกเดินทางกลางคืนพอขึ้นรถได้ก็ตีตั๋วนอนยาวๆเลยครับ พูดถึงช่วงเดินทางก็มีติดขัดเล็กน้อยเพราะรถโค้ชขาจาก Manchester ลงมาที่ London มาสายร่วมๆชั่วโมง เล่นเอาใจหายใจคว่ำเกือบมาเปลี่ยนรถที่ London ต่อไปยัง Southampton ไม่ทัน ใครบอกรถที่นี่ตรงเวลาผมนี่เถียงขาดใจเลยเพราะมันเลทประจำ!!


               หลังจากลุ้นระทึกว่าจะทันไม่ทันสุดท้ายผมก็มาถึงเมือง Southampton จนได้ สำหรับผมนี่ก็เป็นครั้งที่ 4 แล้วที่ได้มาเยือนเมืองนี้ พูดถึง Southampton นี่ก็เป็นเมืองใหญ่พอสมควร คือถ้าเทียบแล้วถึงแม้จะเล็กกว่าเมืองหลักๆอย่าง London Manchester Birmingham แต่ก็ใหญ่กว่าเมืองทั่วไปอยู่พอควร ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ผับบาร์ มีครบ ผู้คนเมืองนี้ก็ดูสบายๆ รวมๆแล้วก็เป็นเมืองที่ไม่ใหญ่โตหวือหวาแต่ก็มีความน่าอยู่ในตัวของมันเอง (อารมณ์ Character เดียวกับทีมฟุตบอลเลย)
West Quay ห้างใหญ่ใน Southampton

               ก่อนเกมนี้จะเริ่มต้นขึ้นสถานการณ์ของทั้งสองทีมดูจะคล้ายๆกันคือ มีลุ้นโควต้า UCL อยู่พักนึงแต่สุดท้ายก็ทนแรงเสียดทานไม่ไหว ตอนนี้การไปเล่นในรายการ Europa League จึงเป็นเป้าหมายที่เป็นไปได้ที่สุดของทั้งสองทีม โดยหลังจากเหตุการณ์พลิกล็อกสะท้าน Wembley สะเทือนมาถึง St.Mary's ทำให้เป้าหมายของทั้งคู่เปลี่ยนไป โดยโจทย์ของทั้งสองทีมต่างกันนิดหน่อยตรงที่ สเปอร์สเจ้าของพื้นที่อันดับ 6 ขออย่างน้อย 1 คะแนนเพื่อรักษาพื้นที่ตัวเองเอาไว้ ส่วน Southampton ในอันดับ 7 ไม่มี choice อื่นต้องเดินหน้าเก็บสามแต้มเพื่อแซงไก่เดือยทองขึ้นไปให้ได้สถานเดียว

อัตราต่อรองวันนี้ใครแทง Pelle score first ไปรวยเลย

               สำหรับเกมนี้เริ่ม kickoff ตอน 12.45 ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิดนี่เป็นครั้งแรกของปีนี้เลยมั้งครับที่ นักบุญเล่นเป็นคู่แรกของสัปดาห์ ซึ่งแฟนบอลหลายคนก็ดูจะปรับตัวไม่ทันบอลจะเขี่ยอยู่แล้วยังค้างอยู่นอกสนามอยู่เลย รวมถึงผมด้วย ฮาฮา Line up ของ Southampton วันนี้ก็ไม่มีอะไรเซอร์ไพรซ์ Ronald Koeman ยังคงยึดระบบ 4-3-3 เป็นหลักใช้ผู้เล่นชุดเดิมจากเกมพ่าย Stoke โดยเปลี่ยนแค่ตำแหน่งเดียวเอา Dusan Tadic กลับเข้ากรุแล้วส่ง JWP James Ward-Prowse ลงมาเล่นแทน ส่วนในรายของ Victor Wanyama กลางรับสายแทงค์หมดสิทธ์ลงสนามต้องชดใช้โทษแบนเป็นนัดสุดท้าย โดยมี Alderweirald ผ่านความฟิตหลังจากโดนหามออกจากสนามในเกมกับ Stoke เมื่ออาทิตย์ที่แล้วลงเล่นแทน ซึ่งหลังเกมเจ้าตัวให้สัมภาษณ์ว่า "จริงๆแล้วผมก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่นะ แต่เกมนี้เป็นเกมสำคัญ ที่ลงมาก็เพื่อทีม และแฟนบอลเลยนะเนี่ย" แหมใจขนาดนี้อยากจะส่งเพลง อยู่ต่อเลยได้ไหมไปให้จริงๆ

Ted Bates ผู้เป็นทุกอย่างของทีมจนได้ฉายา "Mr.Southampton"

               ทางฝั่ง Mauricio Pochettino กลับมาเยือนถิ่นเก่าคราวนี้ (แน่นอนว่าพร้อมกับเสียงโห่) เลือกเล่นในระบบ 4-3-3 เช่นเดียวกัน โดยผู้รักษาประตูได้ Hugo Lloris หายเจ็บกลับมาเฝ้าเสา แบ็คซ้าย Danny Rose เจ็บมาจากเกมเจอ Newcastle เล่นไม่ไหวต้องใช้บริการ Ben Devies แทน ส่วนในเกมรุกความหวังสูงสุดในแดนหน้าเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Harry Kane ที่เพิ่งกดประตูที่ 30 ในฤดูกาลของตัวเองไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว โดยมี Cristian Eriksen, Erik Lamela, และ Nacer Chadli ปั้นเกมอยู่ด้านหลัง

หน้าสนาม St.Mary's Stadium

               สถิติส่วนตัวของผมก่อนเกมนี้ผมเข้าไปดู Southampton เล่น 3 นัดหลังสุดผลออกมานักบุญแพ้รวดทั้ง 3 นัดเรียกว่า สถิติอีแร้งสุดๆ เข้าแก๊งไหนหัวหน้าตายเรียบว่างั้น แต่วันนี้แอบมั่นใจลึกๆว่าต้องชนะบ้างล่ะน่า ที่มั่นใจนี่ก็ไม่ไดัมีเหตุผลอะไรหรอกครับ ความรู้สึกล้วนๆ เมื่อมั่นใจขนาดนี้ก็ตรงเข้าคูหา กา Southampton to win ไป 9 ปอนด์ ในอัตราแทง 20 จ่าย 21 อารมณ์รอรับทรัพย์แน่นอน ฮิฮิ

               เล่นไปเล่นมาเหมือนความรู้สึกผมมันจะถูกจริงๆ เมื่อ Graziano Pelle ที่ผมไม่เห็นแกยิงมาเป็นแรมปี (คือนัดไหนยิงผมก็ไม่ได้เข้าไปดู) ยิงประตูเบิกร่องให้นักบุญนำไปก่อนเมื่อเกมผ่านไปครึ่งชั่วโมง จากจังหวะที่กองหลังสเปอร์สซักคนลื่นล้ม (ซึ่งก็ไม่สนใจว่าเป็นใคร ขอเฮก่อนนาทีนี้) แล้ว Pelle เลยฉกไปยิงผ่านมือนายด่านทีมชาติฝรั่งเศสเข้าไปง่ายๆ
March As One

               พอได้ประตูนำ Southampton ก็ดูผ่อนเกมลง แต่ก็ยังมีโอกาสเป็นระยะๆ ส่วนสเปอร์สวันนี้ก็มาเปิดเกมแลกทำให้เกมสนุกทีเดียว แต่แล้วก่อนที่จะหมดครึ่งแรกไม่กี่อึดใจกองเชียร์ The Saints ที่วันนี้เสียงดังแบบพิเศษใส่ไข่ก็ต้องเงียบกริบทั้งสนามเมื่อทีมเยือนจากเมืองหลวงมาได้ประตูตีเสมอแบบมีเฮงนิดๆ โดยบอลขึ้นเกมมาทางริมเส้นก่อนโยนเข้ากลาง Harry Kane โฉบมาโหม่งไม่โดน บอลลอยมาถึง Lamela ทำอีท่าไหนไม่รู้บอลเข้าประตูไป มาตอนหลังถึงได้รู้ว่ามันแฮนด์บอล แต่ไปโทษกรรมการก็ไม่ได้หรอก เพราะในสนามก็ยังไม่มีใครเอะใจประท้วง คืออย่างมากก็แค่คิดว่ามันล้ำหน้ารึป่าวแค่นั้น เกมกลับมาเท่ากันที่ 1-1 พร้อมกับเสียงนกหวีดหมดครึ่งแรก

แฟนบอลเข้ามาเต็มความจุ 32,000 กว่าที่นั่ง

               ครึ่งหลัง นักบุญแดนใต้ที่ไม่มีทางเลือกต้องตบเกียร์ 5 เดินหน้าลูกเดียว โหมบุกเข้าใส่ทีมเยือนอย่างหนัก ขณะที่สเปอร์สก็เป็นทีมที่ถอยไม่ค่อยจะเป็นอยู่แล้ว รูปเกมก็เลยออกมาแบบนักมวยยืนแลกหมัดกันกลางเวทีอยู่ที่ว่าใครจะหมัดหนักกว่ากัน จนกระทั่ง Southampton ได้ประตูขึ้นนำอีกครั้งจาก Pelle เจ้าเก่าที่พุ่งโหม่งบอลครอสจากริมเส้นของ Shane Long สำรองที่ลงมาใหม่ บอลพุ่งผ่านมือ Lloris เข้าไปอีกรอบ Southampton นำอีกครั้งเป็น 2-1

Northam Stand ทีมเหย้ากับทีมเยือนแบ่งครึ่งกัน

               หากเกมจบด้วยสกอร์นี้ Southampton จะแซงไก่เดือยทองขึ้นไปอยู่อันดับ 6 ทันทีแต่จนแล้วจนรอดก็มาถูกตีเสมออีกจนได้จากจังหวะที่ปล่อยให้ Eric Dier เซ็นเตอร์ฮาล์ฟกุ๊กไก่เลี้ยงทำเกมขึ้นมาถึงหน้ากรอบเขตโทษง่ายๆ ก่อนไหลออกไปให้ Nacer Chadli ยิงมุมแคบเข้าไปง่ายๆ ชนิดที่กล้าพนันว่าถ้าคนเฝ้าเสาเป็น Fraser Foster ลูกนี้จะไม่เป็นประตูแน่นอน คือไม่ได้โทษประตูนะครับ มันตั้งแต่แดนกลางที่ไม่มีใครไปบีบ Dier แล้ว แต่อย่างน้อยๆ ผู้รักษาประตูควรจะทำได้ดีกว่านี้ ฝรั่งข้างๆผมถึงกับโอดครวญว่าลูกนี้มัน Soft Goal มากๆ

เกมจบลงด้วยสกอร์ 2-2

               สุดท้ายเป็น ไก่เดือยทองที่วันนี้ทั้งเกมมีโอกาสยิงเข้ากรอบแค่ 2 ครั้งแต่กลับได้ถึง 2 ประตูบุกมาแบ่ง 1 แต้มอันล้ำค่าออกจาก St.Mary's ในวันที่ Southampton เล่นได้ดีมากๆเกมนึงในฤดูกาลนี้ไปได้ ถามว่าเสียใจมั๊ย ถ้าไม่นับเงิน 9 ปอนด์ก็ไม่เสียใจเลยครับ วันนี้ Southampton พยายามทุกอย่างแล้ว นักเตะเต็มที่ กองเชียร์ก็เต็มที่ (ผมว่าวันนี้ St.Mary's เสียงดังที่สุดเท่าที่ผมเคยสัมผัสมาเลยนะ) สุดท้ายฟุตบอลมันก็แบบนี้การเล่นดีก็ไม่ได้การันตีว่าคุณจะชนะ แต่ในความรู้สึกของผมวันนี้ Southampton เป็นผู้ชนะครับ ชนะในแง่ของการพิสูจน์ว่าการมายืนอยู่ตรงจุดนี้ของตารางไม่ได้มาด้วยโชคช่วย แต่มาตรฐานของทีมดีพอจะสู้กับทุกทีมจริงๆ แค่นี้ก็ภูมิใจมากแล้วครับ

                หลังจบเกมพอดีมีเวลาว่างช่วงรอเวลาขึ้นรถกลับ Manchester เลยไปยืนรอขอลายเซ็นนักเตะ ซึ่งใครเป็นแฟนบอล Southampton แล้วอยากได้ลายเซ็นนี่จบเกมให้เดินไปรอที่ลานจอดรถด้านหลังสนามครับ นักเตะจะออกมาทางนั้น ส่วนด้านหน้าสนามที่ยืนรอกันเยอะๆอันนี้จะเป็นทีมเยือนครับ ตอนที่ผมไปรอนี่คนอื่นๆยังไม่ออกมามีแค่ Elia ที่ออกมาก่อน ซึ่งก็ต้องบอกว่า Elia แก nice กับแฟนบอลมากๆเลย เพราะแกเล่นแจกครบทุกคน ซึ่งใช้เวลาร่วมๆครึ่งชั่วโมงกว่าจะเสร็จ เยี่ยมจริงๆ

Eljero Elia แบบชัดๆ


               อาทิตย์หน้าผมคงเว้นวรรคจาก Southampton ไปซักพักนึงเผื่ออะไรๆจะดีขึ้น 555 คราวนี้เปลี่ยนบรรยากาศไปที่โรงละครแห่งความฝันกันบ้าง ไปเอาใจช่วยอีกหนึ่งทีมโปรดของผม Manchester United เปิดบ้านรับมือทีมฟอร์มร้อนสิงผงาด Aston Villa ในภารกิจคว้าตั๋วกลับสู่ UEFA Champions Leagues ให้ได้ยังไงอย่าลืมติดตามนะครับ

Sunday 19 April 2015

ฉบับเยือน Britania

When Saturday Comes

สวัสดีครับเพื่อนๆ กลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา เป็นยังไงกันบ้างครับ หลายๆคนก็คงจะได้สนุกกับการเล่นน้ำ ส่วนใครที่ไม่นิยมเปียกก็คงจะได้ใช้วันหยุดพักผ่อนอยู่บ้านเพื่อชาร์จแบตเตอร์รี่ให้ตัวเองสำหรับเตรียมลุยภารกิจต่อไป สำหรับผมแล้วนี่ก็เป็นสงกรานต์แรกในชีวิตที่ไม่ได้หยุดเหมือนคนอื่นเค้า แต่ก็ไม่เป็นไร คิดซะว่าจะได้มีเวลามากขึ้นในการเขียนบทความฉบับนี้ละกันครับ ^^

            สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเกม Premier League ก็ยังคงมีเตะตามปกติรวมไปถึง FA Cup ที่มาถึงรอบตัดเชือกแล้ว ผลเป็นอย่างไร ใครขยับขึ้นลงบนตารางบ้าง ใครจะเป็นคู่ชิงที่ Wembley นั้นก็คงจะได้ผ่านตาเพื่อนๆกันไปบ้างแล้วนะครับ ก็เรียกได้ว่าช่วงนี้เป็นโค้งสุดท้ายของฟุตบอลอังกฤษแล้วจริงๆ แต้มแต่ละแต้มช่วงนี้มีความหมายมากเป็นพิเศษ สำหรับบางทีมก็เพื่อลุ้นแชมป์ บางทีมก็เพื่อรักษาสถานะในลีกสูงสุดของตัวเองเอาไว้ แต่ละทีมก็มีเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไปครับ
 
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาผมมีนัดกับ Southampton อีกหนึ่งทีมเล็กๆจากแดนใต้ที่ยังคงต่อสู้ท่ามกลางเหล่าขาใหญ่ในลีกเมืองผู้ดี เพื่อความหวังในการไปเล่นฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีนับจากครั้งสุดท้ายที่ได้เป็นตัวแทนของประเทศไปแข่งในถ้วยใบรองของยุโรปในฤดูกาล 2003-2004 ในฐานะรองแชมป์ FA Cup (ตั้งแต่สมัยยังใช้ชื่อว่า UEFA Cup อยู่เลย)

หนังสือ Match day programme กับตั๋วนัดนี้

สำหรับการเดินทางครั้งนี้ผมใช้บริการรถไฟจาก Manchester ลงไปที่ Stoke-on-Trent โดยใช้เวลาเดินทางแค่ 40 นาทีเพราะทั้งสองเมืองอยู่ทางตอนเหนือของอังกฤษเหมือนกัน ส่วนการเดินทางจากสถานีรถไฟต่อไปยังสนาม Britania เนี่ยต้องเดินต่ออีกประมาณ 40 นาทีครับ  เพราะตัวสนามจะอยู่ออกนอกเมืองมา (พอๆกับรถไฟตอนขามาเลย ฮาฮา) ส่วนถ้าใครไม่สะดวกเดินก็สามารถใช้รถเมล์สาย 20 จากหน้าสถานีรถไฟมาลงที่สนามใช้เวลาประมาณ 10 นาทีครับ (ในเว็บไซต์สโมสรเค้าว่ามาอย่างงั้นนา)

สถานี Stoke-on-Trent

Britania Stadium บ้านของ Stoke City นั้นมีชื่อเสียงอยู่ 2 เรื่องครับคือเรื่องของเสียงเชียร์ที่ว่ากันว่าดังที่สุดในพรีเมียร์ลีกทั้งๆที่มีความจุแค่ 27,000 กว่าคน ส่วนอีกเรื่องคือลมที่นี่แรงมาก (ที่สุดในพรีเมียร์ลีกรึปล่าวไม่รู้นะ เพราะไม่เคยมีใครไปวัด ฮาฮา) ซึ่งพอมาได้เห็นตัวสนามจริงๆเลยถึงบางอ้อ เพราะตัวสนามมันตั้งอยู่บนเนินเขาลมตรงนี้ก็เลยแรงเป็นพิเศษ แรงถึงขนาดที่ว่า Arthur Boruc นายทวารของ Southampton ที่ปีนี้ถูกปล่อยยืมไปอยู่กับ Bournemouth เคยเสียท่าให้กับ Asmir Bekovic ผู้รักษาประตูของฝั่ง Stoke ที่เตะบอลจากปากประตูตัวเองข้ามหัว Boruc เข้าไปเป็นประตูมาแล้ว

Britania Stadium รังเหย้าของ Stoke City

พูดถึงสถานการณ์ 6 นัดสุดท้ายของ Southampton กันซักหน่อย ก่อนเกมนัดนี้กับ Stoke City นั้นทีมนักบุญอยู่ในอันดับ 6 ของตารางมีแต้มตามหลัง Manchester City ที่รั้งอันดับ 4 อยู่ 5 แต้ม ซึ่งแน่นอนว่าสถานการณ์แบบนี้แฟนๆนักบุญมีสิทธิ์ฝันไกลถึงการไปเตะ UCL ในฤดูกาลหน้าได้เหมือนกันเพราะหากลูกทีมของ Ronald Koeman เก็บชัยชนะได้ทั้งหมดโอกาสไปแชมเปียนลีกส์ก็มีความเป็นไปได้พอสมควรเพราะ 1 ใน 6 นัดที่ว่าเป็นการวัดกันกับเรือใบสีฟ้าในนัดสุดท้ายของฤดูกาลด้วย

อีกมุมจากสนาม Britania Stadium

ก่อนเกมที่ Britania นักข่าวที่นี่ยังมองว่า Southampton ยังเป็น 1 แคนดิเดตในการแย่งชิงตั๋วใบสุดท้ายไป UCL ฤดูกาลหน้าร่วมกับ Manchester City และ Liverpool โดยเฉพาะช่วงหลังที่เรือใบสีฟ้าแสดงอาการ ไม่เอาอ่าว ให้เห็นทำให้ทีมที่ตามหลังมามีลุ้นกันเป็นแถบ แต่ Ronald Koeman กุนซือร่างบึ้กของ Southampton กลับมองว่าโอกาสจริงๆของทีมตนเองอยู่ที่การไปเตะ Europa League มากกว่า เจ้าตัวให้สัมภาษณ์ก่อนเกมว่าโอกาสการไปเตะ UCL ยังคงมีอยู่นิดๆเสมอ (หลังจากที่นักข่าวถามว่าอาการฟอร์มเป๋ของ City ทำให้โอกาสในการเป็นเล่น UCL เปิดกว้างขึ้นหรือไม่) แต่มันก็เป็นเรื่องยากเพราะการไปเล่น UCL เป็นเรื่องของทีมใหญ่ ส่วนตัวเขารู้ระดับของทีมตัวเองดี ส่วนตัวผมเห็นด้วยกับแกนะ คือศักยภาพตัวผู้เล่นในตอนนี้ของ Southampton มันไปวัดกับอีก 2 บิ๊กทีมลำบาก การมองโลกตามความเป็นจริงจึงเป็นการลดแรงกดดันไปในตัว (แค่เท่าที่เป็นอยู่นี้ก็กดดันมากแล้ว)
Shop ภายในสนาม

สำหรับเกมนัดนี้กองเชียร์ทีมเยือนนถูกจัดให้นั่งที่ Marston's Pedigree Stand ซึ่งเป็นอัฒจันทร์หลังประตูฝั่งทิศใต้ซึ่งกันที่ครึ่งนึงไว้ให้ทีมเยือน โดยตั๋วนัดนี้ผมซื้อจากเว็บไซต์สโมสรของ Southampton สนนราคาอยู่ที่ 25 ปอนด์ครับ (คิดเป็นเงินไทยก็ราวๆ พันนิดๆ)  ข้อดีอย่างนึงของสนามฟุตบอลในอังกฤษคือทุกสนามที่ผมเคยไปเยือนมานั้นเป็น Football Stadium พูดง่ายๆก็คือรอบๆสนามจะไม่มีลู่วิ่งทำให้การนั่งหลังประตูก็ได้อรรถรสเหมือนๆกับการนั่งข้างสนามเลยครับ

มุมมองจาก Marston's Pedigree Stand

การจัด 11 คนแรกของ Southampton วันนี้มีปัญหานิดหน่อยเนื่องจากการติดโทษแบนจากการรับใบเหลืองครบกำหนดในเกมกับ Hull City ของ Victor Wanyama ห้องเครื่องสายถึก ทำให้วันนี้ Ronald Koeman ต้องขยับ Toby Alderweirald ขึ้นมายืนกลางรับจำเป็นร่วมกับ Morgan Schneiderlin แล้วส่ง Maya Yoshida กองหลังเลือดซามูไรยืนเป็นเซ็นเตอร์คู่กับ Jose Fonte กัปตันทีมโดยมี Ryan Bertrand กับ Nathaniel Clyne ขนาบข้างซ้ายขวา ส่วนในแนวรุกวันนี้ใช้สามประสานอย่าง Steven Davis, Sadio Mane, และ Dusan Tadic ที่เบียด Shane Long กลับไปนั่งสำรอง แล้วทิ้ง Graziano Pelle เป็นหน้าเป้าหลังจากที่เจ้าตัวเพิ่งทำประตูปลดล็อกให้ตัวเองในนัดที่แล้วหลังปืนฝืดมาตั้งแต่เดือนธันวาคม

ทางฝั่งเจ้าบ้านมาในระบบ 4-5-1 ผู้รักษาประตูเป็น Begovic กองหลัง 4 คนไล่จากซ้ายไปขวามี Phillipp Wollscheid, Ryan Shawcross, Erik Pieters, Geoff Cameron กองกลางมี Jonathan Walters, Marko Arnautovic, Glenn Whelan, Stephen Ireland, Stevan N’Zonzi โดยมีMame Diouf อดีตดาวดับของ Man United ยืนเป็นหัวหอก

นักเตะเดินลงสนาม

เริ่มเกมมาเป็น Stoke City ที่ 4 เกมหลังยังสะกดคำว่าชนะไม่เป็นครองเกมได้เหนือกว่า มีโอกาสได้ลุ้นเป็นระยะๆ ซึ่งวิธีการของเจ้าบ้านก็ไม่มีอะไรซับซ้อน เน้นการครอสบอลจากริมเส้นรวมถึงลูกตั้งเตะเข้าไปในกรอบเขตโทษแล้วอาศัยความสูงใหญ่ของตัวผู้เล่นเข้าโจมตี ขณะที่ทางฝั่งทีมเยือนดูเหมือนจะยังตั้งเกมของตัวเองไม่ได้ Toby Alderweirald ที่ขยับมายืนกองกลางจำเป็นดูเหมือนจะประสานงากับ Schneiderlin มากกว่าที่จะประสานงานทำให้เกมในแดนกลางของนักบุญดูจะเป็นรอง The Potters พอสมควร

Ronald Koeman แบบเห็นหลังไวๆ

เกมผ่านไป 22 นาทีกลับกลายเป็น Southampton ที่เป็นฝ่ายขึ้นนำจากลูกตั้งเตะ โดยได้ประตูจากจังหวะเล่นลูกเตะมุมทางด้านขวา Jose Fonte โฉบมาโหม่งตัดหน้ากองหลัง Stoke ที่เสาแรก บอลเลยมาเสาสอง Morgan Scheniderlin มิดฟิลด์ที่เป็นข่าวกับทีมใหญ่หลายทีมชาร์จจ่อๆเข้าไปง่ายๆ ความฝันในการไปเล่นฟุตบอลยุโรปดูเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนดีเหลือเกิน ว่ากันตามสถิติแล้วในพรีเมียร์ลีกปีนี้นักบุญยังไม่เคยแพ้แม้แต่เกมเดียวหากออกนำคู่ต่อสู้ไปก่อน

หลังจากมีประตูแรกในเกมรูปเกมกลับมาสูสีกัน โดยเจ้าถิ่นพยายามบุกหวังทวงประตูคืน แต่จังหวะสุดท้ายยังไม่ชัดเจนพอ ส่วน The Saints อาศัยความเร็วของ Mane ในจังหวะสวนกลับคอยเล่นงานกองหลัง Stoke ที่ค่อนข้างจะเชื่องช้าโดยเกือบจะได้ประตูนำห่างอยู่หลายครั้ง โดยรวมแล้ว Southampton ดูจะเป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ขณะที่กองเชียร์ที่ตามมาจากแดนใต้ราวๆ 2,000 ชีวิตร้องเพลงเตรียมไปบอลยุโรปกันแล้ว สนาม Britania เสียงดังจริงแต่เป็นเสียงของ The Saints ล้วนๆ ขณะที่กองเชียร์เจ้าบ้านนั่งเงียบเป็นป่าช้า ดูไม่เร่งเร้า ไม่กระตุ้นทีมเอาซะเลย หรือว่าเสียงเชียร์ที่ Britania จะมีแต่ชื่อ


Asmir Bekovic วันนี้เล่นได้ตามมาตรฐาน

ก่อนหมดครึ่งแรกไม่กี่อึดใจแฟนบอลเจ้าบ้านเกือบได้เฮบ้างเมื่อ Stoke City ได้ฟรีคิกก่อนเปิดบอลเข้ากรอบเขตโทษตามสเต็ป Geoff Cameron โขกเช็ดไปหน้าประตู บอลมาถึง N’Zonzi ที่แปจากระยะไม่เกิน 5 หลาออกข้างไปแบบเหลือเชื่อ อย่างไรก็ตามหลังจากได้เริ่มครึ่งหลักมาได้แค่ 2 นาทีเจ้าถิ่นก็ได้ประตูตีเสมอแบบงงๆ จากจังหวะที่ N’Zonzi เจ้าเก่าที่ไม่รู้ว่าจังหวะนี้โยนหรือยิง แต่ไม่ว่าจะโยนหรือยิงมันก็เป็นลูกที่ดูแย่เอามากๆ คือบอลมันลอยโด่งย้อยๆช้าๆเข้าหากรอบประตูแบบดูไร้พิษสงเป็นที่สุด แต่แล้ว Kelvin Davis ซึ่งลงมาทำหน้าที่แทน Fraser Foster ที่เจ็บปิดเทอมยาวไปแล้ว กลับพลิกโอกาสเป็นวิกฤติด้วยการกะจังหวะบอลพลาด (หรือจะเพราะลม) บอลที่ลอยมาแบบโด่งๆช้าๆนั้นเด้งไปชนคานก่อนตกลงมาเข้าทางปืนของ Mame Diouf ยิงเข้าไปแบบง่ายที่สุดในสามโลก กองเชียร์ The Potters เริ่มมีเสียงบ้างแล้ว ขณะที่กองเชียร์นักบุญสวนกลับไปแบบแสบๆ We Forgot that you were here เกือบลืมไปแล้วว่าพวกเอ็งอยู่ในสนามเหมือนกัน ฮาฮา

Pelle กับ Mane ความหวังในแดนหน้า

หลังจากเสียประตูไป Southampton พยายามบุกเข้าใส่อย่างหนักระลอกแล้วระลอกเล่าเพื่อหาประตูออกนำอีกครั้ง โอกาสที่ดีที่สุดมาในนาทีที่ 62 จาก Dusan Tadic ที่ยิงจากบริเวณจุดโทษกองหลัง Stoke สกัดข้ามเส้นรอดตัวหวุดหวิด หลังจากบุกอยู่นานสองนานแต่ทำไม่สำเร็จ Southampton ก็มาถูกลงโทษจากจังหวะโยนบอลเข้ากรอบเขตโทษ (อีกแล้ว) กองหลัง Southampton ที่ช่วยกันดีมาทั้งเกมสุดท้ายก็เสียท่าให้กับลูกโด่งของ Stoke City โดยสกัดลูกโยนฟรีคิกไม่ขาดบอลมาเข้าทาง Charlie Adam ฮาล์ฟวอลเลย์ในกรอบเขตโทษทางขวาบอลพุ่งวาบผ่านมือ Super Kelv เข้าไปตุงตาข่ายพร้อมกับดับความหวังในการไปเล่น UCL ของนักบุญให้จบลงแต่เพียงเท่านี้ วินาทีที่บอลซุกก้นตาข่ายมันเหมือน Britania Stadium แทบจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ เสียงเชียร์มันอื้ออึงไปหมดไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงเป็นสนามที่เสียงดังที่สุดในลีก เท่านี้ยังไม่พอท้ายเกม Southampton ยังมาเสีย Alderweirald ที่ไปปะทะกับนักเตะ Stoke จนถูกหามออกไปในช่วงทดเวลาบาดเจ็บอีกซึ่งดูแล้วไม่น่าจะหายทันเกมกับ Tottenham สัปดาห์หน้าแน่ๆ

ผู้ชมที่ Britania Stadium วันนี้เกือบเต็มความจุ


สรุปแล้วความพ่ายแพ้ในเกมนี้เป็นเกมแรกที่ Southampton ออกนำไปก่อนแต่จบลงด้วยความพ่ายแพ้ ซึ่งก็ต้องโทษตัวเองที่แสดงให้เห็นถึงความไม่นิ่ง เอง หลังเกม Ronald Koeman ออกมาบอกว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับกับความพ่ายแพ้ในนัดนี้ แต่ฟุตบอลก็แบบนี้ ถ้ามีความผิดพลาดเกิดขึ้นอีกฝ่ายก็พร้อมจะลงโทษตลอดเวลาครับ หลังจากนี้ Southampton คงต้องลุ้นให้ Liverpool ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศ FA Cup กับ Arsenal ที่ผ่าน Reading เข้าไปรอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะนั่นหมายความว่าอันดับที่ 7 บนตารางพรีเมียร์ลีกจะได้ไปเตะ Europa League ฤดูกาลหน้าทันที ซึ่งดูแล้วยังไงนักบุญก็หลุดจากอันดับ 7 ยากครับเพราะนำหน้า Swansea City ทีมในอันดับ 8 อยู่ถึง 9 คะแนนขณะที่เหลือการแข่งขันอยู่อีกแค่ 5 นัด

ส่วนเรื่อง UCL Koeman ก็ประกาศยกธงขาวไปเรียบร้อยแล้วหลังเกม ซึ่งผมก็ยกธงขาวเหมือนกันเพราะหาก City เก็บสามแต้มได้ในวันอาทิตย์นี้ช่องว่างจะกลายเป็น 8 คะแนนทันทีดูยังไงก็ไม่มีทางเลย หลังจากนี้ก็คงเหลือแค่ Manchester City กับ Liverpool ที่แย่งอีกหนึ่งโควต้าสุดท้าย

อาทิตย์หน้าเราจะยังติดตามชะตากรรมของทีมนักบุญต่อไปนะครับ โดยที่ผมจะลงใต้ไปที่ St. Mary’s เพื่อดูเกมที่ Southampton เปิดบ้านต้อนรับ Tottenham Hotspur ซึ่งหลังเกมนัดนี้เราน่าจะได้บทสรุปแบบไม่เป็นทางการแล้วล่ะว่าฤดูกาลนี้ของนักบุญแดนใต้จะจบลงแบบไหน ยังไงก็อย่าลืมติดตามกันนะครับ สำหรับใครที่อ่านแล้วมีอะไรอยากพูดคุยแลกเปลี่ยนก็ยินดีมากๆครับ  

ปล. ก่อนจะจากกันไปผมขอแสดงความยินดีกับทีมชาติไทยที่ถูกจับฉลากไปอยู่ในกลุ่มที่ มีความเป็นไปได้ มากที่สุดกลุ่มนึงในการผ่านเข้าไปเล่นรอบ 12 ทีมสุดท้าย ก็ฝากซิโก้จัดหนักๆหน่อยนะครับอยากเห็นบอลไทยไปบอลโลกซักครั้ง
ปล2. ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของโค้ชแต๊กด้วยนะครับ การจากไปของโค้ชแต๊กถือเป็นการสูญเสียบุคคลากรอันมีค่าของวงการฟุตบอลไทยเลย หลับให้สบายนะครับโค้ช

Manchester, UK
19/4/15       

Monday 13 April 2015

เมื่อแมนเชสเตอร์เป็นสีแดง

When Saturday Comes





สวัสดีครับเพื่อนๆทุกคน ช่วงนี้ก็เป็นเทศกาลสงกรานต์พอดีก็ขอให้เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน และที่สำคัญคือเมาไม่ขับนะครับ ส่วนใครไม่ชอบออกไปเล่นน้ำด้วยเหตุผลร้อยแปดก็อยู่บ้านนั่งอ่าน When Saturday Comes แก้เหงาไปพลางๆก่อนก็ได้ครับ (ขายของกันเลยทีเดียว แหะแหะ)
               ความจริงแล้วผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะเขียนบทความฉบับนี้ตั้งแต่แรกหรอก เนื่องจากความขี้เกียจเข้าปกคลุมประกอบกับเพิ่งเขียนเรื่องราวตอนไปเยือน White Hart Lane มา ผมก็เลยตั้งใจว่าอาทิตย์นี้จะขอนั่งดูบอลเพลินๆอย่างเดียวเพื่อความไม่เหนื่อย ฮาฮา แต่หลังจากจบเกมส์ Manchester Derby Match ซึ่ง ปีศาจแดงโชว์ฟอร์มโหดไล่ถล่มเพื่อบ้านผู้น่ารำคาญอย่างเรือใบสีฟ้าคาโรงละครแห่งความฝันไปด้วยสกอร์ 4-2 มันเหมือนเป็นพลังงานบางอย่างที่กระตุ้นให้สาวกอสูรอย่างผมต้องลุกขึ้นมาทำหน้าที่ของสาวกที่ดีด้วยการทะเลาะกับ Keyboard เพื่อร่วมสรรเสริญ ฟอร์มอันน่าสยดสยองของเหล่าขุนพล Red Devils โดยพลัน ว่าแล้วก็บอกกับตัวเองว่าจะต้องเขียนบทความฉบับนี้ให้ร้อนแรงเหมือนฟอร์มของปีศาจแดงให้จงด้ายยยย!!
               ก่อนอื่นต้องขอบอกว่าเกมนัดนี้ผมไม่ได้ไปดูที่สนามนะครับ เหตุผลก็คือเกมใหญ่ๆแบบนี้ความต้องการตั๋วจะสูงลิบลิ่วทางสโมสรจึงใช้ระบบการจับฉลากในหมู่มวลสมาชิกเพื่อหาผู้โชคดีเข้าไปดูเกมในสนาม (ต้องจ่ายค่าบัตรตามปกติ) ซึ่งผลออกมาว่าผมเป็นผู้โชคไม่ดีเลยได้สิทธินั่งเชียร์อยู่ที่บ้านไปตามระเบียบ =*= ไว้ยังไงถ้ามีโอกาสผมจะมาเขียนเรื่องวิธีการซื้อตั๋วของสโมสร Manchester United ให้ได้อ่านกันนะครับ
               สำหรับศึกชิงเมืองรอบนี้มันไม่ใช่เรื่องของศักดิ์ศรีเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงอนาคตการไปเล่นฟุตบอลยุโรปของทั้งสองบิ๊กทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์อีกด้วย เนื่องจากก่อนเกมทีมจากมุมแดงอยู่ในอันดับที่สาม ส่วนทีมจากมุมน้ำเงินอยู่บนอันดับที่สี่ซึ่งเป็นอันดับสุดท้ายที่จะได้ไปเล่น UCL ทั้งสองทีมมีแต้มห่างจาก Southampton ทีมอันดับ 5 อยู่ 4 และ 5 คะแนนตามลำดับ เพราะฉะนั้น หากเกมนี้ใครแพ้มันหมายถึงการต้องไปดิ้นรนแย่งอันดับที่ 4 อย่างเต็มตัว เพราะนอกจากนักบุญแล้วยังมี Liverpool ที่หากเก็บสามแต้มในเกม Monday night ได้จะตามหลังแค่ 4 หรือ 5 แต้มทันทีเรียกได้ว่าใครแพ้มาก็ล่อแหลมทันที
               สถิติการพบกันก่อนเกมในทุกรายการของสองทีมนี้บ่งบอกว่า ปีศาจแดงเหนือกว่านิดๆ โดยเป็นฝ่ายเอาชนะได้ 65 นัดเสมอ 49 นัดและเป็นฝ่ายเพี่ยงพล้ำไป 45 นัด แต่พอเอาเข้าจริงสถิติพวกนี้ก็บอกอะไรเราไม่ได้มากนักเพราะ City โฉมใหม่ภายใต้ กลุ่มทุนจากดูไบต่างจากอดีตชนิดที่เรียกได้ว่าโหดกว่าเดิมเยอะ จากสถิติการเจอกัน 4 นัดหลังสุด เป็นเรือใบสีฟ้าเอาชนะได้ทั้งหมด แถมฤดูกาลที่แล้ว Manchester City ยังผงาดคว้าแชมป์ลีกได้อีก (แบบที่ฝั่ง United เองก็พอใจเพราะดีกว่าเห็นคู่ปรับเบอร์ 1 ตลอดกาลอย่าง Liverpool ได้แชมป์ อันนี้แฟนบอลที่นี่เค้าว่างี้นะ) ก็เป็นการบอกกลายๆว่า เมือง Manchester ตอนนี้ได้กลายเป็นสีฟ้าไปแล้วนะเห้ย
               ก่อนเกมจะเริ่มขึ้นสื่อต่างๆรวมถึงร้านรับพนันที่นี่ยกให้ United เป็นต่อนิดๆด้วยอานิสงส์ของการได้เล่นในบ้าน รวมถึงผลงานช่วงหลังที่ดูดีมีชาติตระกูลกว่า City  เกมนี้ Manchester United มาในระบบ 4-4-1-1 ที่พวกเขาทำได้ดีในช่วงหลัง โดยแผงแบ็คโฟร์เป็น Valencia Smalling Jones Blind กองกลางมี Mata Carrick Herrera Young คอยขับเคลื่อน Fellaini เล่นเป็นหน้าต่ำ ซึ่งเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะเล่นดีในตำแหน่งนี้เป็นพิเศษ ส่วนกัปตันทีม Rooney เล่นเป็นหน้าเป้า ทางฝั่งทีมเยือนมาแบบเต็มสูบเช่นกันไล่จากผู้รักษาประตูเป็น Joe Hart กองหลังมี Zabaleta Kompany Demichelis Clichy กองกลาง 5 คนใช้ Navas Toure Fernandinho Milner Silva ส่วนกองหน้าทิ้ง Sergio Aguero ไว้คอยเล่นงานแนวรับเจ้าบ้าน ก่อนเกมของ Louis Van Gaal ออกมาให้สัมภาษณ์ว่ามันคงเหมือนฝันเลยหากเขานำลูกทีมเอาชนะคู่ปรับร่วมเมืองได้ ซึ่งก็เหมือนเป็นการสะท้อนบิ๊กบอสผีแดงมองว่ามันต้องยากส์แน่นอน และก็เหมือนว่ามันจะยากจริงๆเมื่อ City ได้ประตูออกนำไปก่อนตั้งแต่ไก่โห่จาก Sergio Aguero ดาวซัลโวของทีมในนาทีที่ 8 ลูกนี้ต้องชม David Silva ที่ลากไปทางซ้ายจนสุดเส้นหลังก่อนตบเข้ามาหน้าประตูให้กองหน้าชาวอาร์เจนไตน์ชาร์จง่ายๆ เป็นประตูที่ 17 ในลีกของเจ้าตัว จริงๆก่อนหน้านี้ United ก็จวนเจียนจะเสียประตูอยู่หลายครั้งซึ่งหลังเกม LVG ก็ออกมายอมรับว่าช่วนต้นเกมนักเตะในทีมมีอาการประหม่าจนไม่อยู่ในเกมของตัวเอง หลังจากเสียประตูแรกไป Manchester United ค่อยๆตั้งเกมได้ทีละน้อย ส่วนเรือใบสีฟ้าแทนที่จะเดินหน้าบุกขยี้ตอนที่เจ้าบ้านกำลังเสียขบวน กลับผ่อนเกมลงไปซะอย่างงั้น
               จุดเปลี่ยนของเกมนี้เกิดขึ้นในอีก 5 นาทีถัดมาเมื่อมาได้ประตูตีเสมอจาก Ashley Young ซึ่งชาร์จลูกเปิดของ Daley Blind จังหวะแรกไปติดกองหลังก่อนจะมีโชคช่วยบอลกระดอนมาเข้าทางอีกทีซึ่งคราวนี้ไม่มีพลาดเจ้าบ้านตามตีเสมอได้สำเร็จ (บอกแล้วอย่าให้อาจารย์ยังเอาจริง ฮาฮา) ที่ผมมองว่าจังหวะนี้เป็นจุดเปลี่ยนของเกมก็เพราะการที่ปีศาจแดงได้ประตูตีเสมอเร็วทำให้อะไรๆก็เทมาทางฝั่งเจ้าบ้านหมด และก็เป็น Young เจ้าเก่าที่เปิดจากทางซ้ายไปเสาสองให้พี่ฟู Fellaini โขกทำประตูสมฉายาเจ้าเวหา (บอกแล้วอย่าให้อาจารย์ยังเอาจริง) United 2 City 1 เมื่อเวลาผ่านไป 27 นาที หลังจากนั้น เจ้าบ้านก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ส่วนเรือใบพันล้านยิ่งเล่นยิ่งยุบโดยเฉพาะแดนกลางที่หลายครั้งปล่อยให้ Midfield  เจ้าถิ่นเล่นกันสบายใจเฉิบ โดยเฉพาะ Yaya Toure ที่เป็นหัวใจสำคัญของทีมกลับโชว์ผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐานจน Gary Neville ซึ่งตอนนี้รับหัวโขนเป็นนักวิเคราะห์ของ Sky Sport ออกมาตั้งคำถามถึงความทุ่มเทของเจ้าตัวว่าเล่นเหมือนกับใจลอยไปอยู่ที่อื่นแล้วยังไงอย่างงั้น จบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์ 2-1 ซึ่งก็ต้องบอกว่า Manchester City โชคดีที่ไม่โดนเพิ่มรวมถึงโชคดีที่ยังมีผู้เล่นออกสตาร์ทครึ่งหลังครบ 11 คนหลังจาก Kompany ไปสไลด์เปิดปุ่มแบบน่าเกลียด แต่ท่านเปากลับวินิจฉัยออกมาเป็นใบเหลืองแก่ๆ (ตามสไตล์คุณลุงเค้า ฮาฮา)  ซึ่งไม่รู้เพราะเหตุการณ์นี้รึปล่าว Pellegrini กุนซือ Man City เลยเปลี่ยน Kompany ซึ่งเป็นกัปตันทีมออกไปตั้งแต่เริ่มครึ่งหลัง
               ครึ่งหลังแก้เกมกันกลับมาแต่เกมของทีมเยือนยังไม่กระเตื้องผิดกลับฟากสีแดงที่ดูเหมือนได้ใจบุกเข้าใส่อย่างต่อเนื่องจนมาได้เพิ่มอีก 2 ประตูจากประตูปัญหาของ Juan Mata ผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ หลังจากเป็นส่วนหนึ่งของการทดลองถูกจับดองอยู่ข้างสนามกว่าครึ่งฤดูกาล และ Chris Smalling ซึ่งขึ้นมาโหม่งลูกฟรีคิกเป็นประตูที่ 4 ให้ Man United นำห่างแบบสุดลูกหูลูกตา ก่อนที่ The Citizen จะมาได้ประตูกู้หน้าจาก El Kun เจ้าเก่าซึ่งประตูนี้ทำให้ประตูรวม Aguero เพิ่มเป็น 18 ลูกไล่จี้ Diego Costa และ Harry Kane ในศึกชิงดาวซัลโวเพียงแค่ลูกเดียว เกมจบลงด้วย 4 ประตูของ United พร้อมกับ 4 แต้มที่ทิ้งห่าง Man City ที่จมอยู่อันดับ 4 ออกไปพร้อมทั้งหยุดความปราชัย 4 เกมรวดต่อเพื่อนบ้านผู้น่ารำคาญผู้นี้
                 เบื้องหลังชัยชนะของปีศาจแดงในนัดนี้ก็คงต้องบอกว่าเป็นเนื่องของความมั่นใจ และ ความลงตัว ก่อนหน้าที่เข้าสู่ช่วง 5 นัดอันตราย Man United ในตอนนั้นอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมต่อการชวดไปเล่นในถ้วยใบใหญ่เป็นปีที่สองติดต่อกันมากเพราะ ทีมที่ตามหลังมาอย่าง Liverpool กับ Tottenham กำลังมาแรงมากส่วนUnited  เพิ่งกระเด็นตกรอบ FA cup ด้วยน้ำมือ Arsenal มาหมาดๆ ใครๆก็มองว่าโอกาสของผีแดง 50/50 แต่หลังจากผ่านทีละเกมกับ Tottenham, Liverpool, Manchester City ด้วยชัยชนะมาเรื่อยๆทำให้กำลังใจมีมากขึ้นๆจนตอนนี้เรียกได้ว่าโอกาสไป UCL อยู่ใกล้แค่เอื้อม อีกคนที่ต้องให้เครดิตคือ LVG ที่แกหาจุดสมดุลของแกเจอซะที (หวังว่าหลังจากนี้แกจะไม่ทำอะไรแผลงๆอีก) การเอา Rooney กลับมายืนหน้าเป้าโดยที่มี Fellaini อยู่ด้านหลังเป็นอะไรที่ลงตัวมากๆ เพราะพี่ฟูเรานอกจากจะโขกเก่งแล้วแกยังเก็บบอลได้อีกด้วยทำให้ กัปตันหมูหมดภาระเรื่องการลงมาเก็บบอลล้วงบอล นอกจากนั้นคือการจับเอา Jaun Mata กลับลงมาเป็นตัวจริงแทนที่ Angel Di Maria ซึ่งทำให้เกมในแดนกลางไหลลื่นมากขึ้นด้วยความที่ Mata เป็นคนที่เชื่อมเกมจากกลางไปหน้าได้ดีกว่านั่นเอง มันน่าแปลกใจตรงที่ 11 คนแรกของ United ที่ลงทำศึกชิงเมืองเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาเปลี่ยนจากยุค Moyes ไปแค่ 2 คนเท่านั้นเองคือ Blind และ Herrera ซึ่งตัวที่คาดว่าจะเป็นความหวังเมื่อต้นฤดูกาลอย่าง Di Maria และ Falcao เป็นแค่ตัวสำรองอยู่ข้างสนามด้วยซ้ำ ตรงนี้น่าจะพอบอกอะไรได้บางอย่างว่าจริงๆแล้วปัญหาของ United มันอาจไม่ใช่เรื่องของศักยภาพตัวผู้เล่นก็ได้ เพียงแค่ว่าจะทำยังไงถึงจะรีดออกมาให้ได้มาที่สุดเหมือนที่ Sir Alex Ferguson ทำได้มาโดยตลอดก็เท่านั้นเอง  
               หลังจบเกม Manchester United ทำคะแนนทิ้งห่างอันดับ 5 ออกไป 8-9 แต้มเรียกว่า 6 นัดสุดท้ายถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุทางฟุตบอลขึ้น ปีศาจแดงภายใต้มันสมองของ LVG (และสองมือของ David De Gea) จะกลับไปโลดแล่นในเวทียุโรปที่คุ้นเคยอย่างแน่นอน ส่วนชะตากรรมของ Manchester City ไม่ได้สดใสซาบซ่าเหมือนของอริตลอดกาล พวกเขามีแต้มห่างทีมอันดับ 5 อย่าง Liverpool อยู่แค่ 4 คะแนนทั้งๆที่พวกเขาเคยมีแต้มทิ้งห่างหงส์แดงอยู่ถึง 17 แต้ม!! เมื่อรวมกับฟอร์มช่วงหลังที่น่าละเหี่ยใจของเรือใบสัญชาติอาหรับ (แพ้ ไปถึง 4 เกมจาก 5เกมหลังสุด) ก็ต้องบอกว่านาทีนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้แล้วล่ะครับ ส่วนอนาคตของ Pellegrini คงรอดยากแล้วล่ะผลงานไม่เอาอ่าวขนาดนี้รวมถึงหลายครั้งที่ลูกทีมแสดงให้เห็นถึงอาการไม่เอาด้วยบางทีหลังจบฤดูกาลนี้เรือใบลำนี้อาจมีการเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ก็เป็นได้ เพราะจะว่าไปแล้วนักเตะชุดนี้ก็เป็นแกนหลักที่ประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ลีกถึง 2 สมัยอาจจะถึงจุดอิ่มตัวแล้วก็เป็นได้

               ทิ้งท้ายก่อนจะจากกันไปด้วยคำสัมภาษณ์ของ LVG ว่า Manchester United is the pride of Manchester. We are this moment four points ahead so that is a fact. ก่อนหน้านี้จะยังไงไม่รู้แต่ตอนนี้ Manchester สีแดงแน่นอนนะฮะท่านผู้ชม!!  

Manchester, UK
13/04/2015