Thursday 14 May 2015

Foxes Never Quit

When Saturday Comes


               สวัสดีครับเพื่อนๆ ก่อนอื่นเลยก็ขอแสดงความยินดีกับแฟนๆ Chelsea ที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก (อย่างเป็นทางการ) ไปเมื่อสุดสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ก็ต้องยอมรับว่าฤดูกาลนี้ Chelsea เหมาะสมกับตำแหน่ง Champion ทุกประการด้วยฟอร์มการเล่นที่คงเส้นคงวา และเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพที่สุด แม้หลายคนจะค่อนขอดว่าฟอร์มการเล่นของสิงห์บลูจะออกแนวน่าเบื่อ แต่ถ้าน่าเบื่อแล้วได้แชมป์ก็ไม่เลวอยู่นะครับ ฮาฮา
สถานีรถไฟ Leicester

               สำหรับพรีเมียร์ลีกในสัปดาห์ต่อๆไปก็คงจะมีเรื่องให้พูดถึงน้อยลงเพราะตำแหน่งแชมป์ก็ตัดสินไปเรียบร้อยแล้ว พื้นที่ UCL ก็คงจะหนีไม่พ้นเจ้าของอันดับ 2-4 ในปัจจุบัน หลังจากปีศาจแดงบุกไปเอาชนะ Crystal Palace ได้ที่ลอนดอนส่วน Liverpool ทำได้เพียงแค่เสมอกับ Chelsea ทำให้ช่องว่างของทั้งสองทีมเขยิบออกไปเป็น 6 แต้มกับประตูได้เสียที่ต่างกันอีกบานเบอะ งานนี้คำว่าปาฏิหาริย์อาจจะยังไม่พอที่จะทำให้ทีมสีแดงจากฟากเมอร์ซีไซด์ได้กลับไปเล่นในฟุตบอลยุโรปถ้วยใหญ่อีกครั้ง
บรรยากาศในเมืองตอน 9 โมงเช้า

               จากสถานการณ์ตอนนี้ พื้นที่ที่ยัง คลุมเครือก็คงจะเหลือแค่พื้นที่ฟุตบอลยุโรปถ้วยเล็กกับการหนีตกชั้นเท่านั้น โดยเฉพาะสถานการณ์ท้ายตารางที่พลิกไปพลิกมาดราม่ายิงกว่าละครหลังข่าวซะอีก หลังจบเกมที่ 36 มีแน่ๆแล้วสองทีมที่จะต้องหลุดวงโคจรลงไปเล่นใน The Championship ในฤดูกาลหน้านั่นคือ Q.P.R และ Burnley ส่วมทีมที่เหลือไล่ลงมาตั้งแต่ Aston Villa (38แต้ม) Leicester City (37แต้ม) Sunderland(36แต้ม) Newcastle(36แต้ม)  และ Hull City(34แต้ม) ยังถือว่าเสี่ยงต่อการเป็นอีก1 ทีมที่จะต้องตกชั้นตาม Q.P.R กับ Burnley ไป

               การตกชั้นของทั้ง Q.P.R กับ Burnley ในครั้งนี้ก็เหมือนเป็นหลักฐานกลายๆว่ามาตรฐานในระดับ Premier League ยังห่างจาก The Championship อยู่พอสมควรเนื่องจากทั้งสองทีมเป็นน้องใหม่ที่เพิ่งได้ขึ้นมาโลดแล่นบนลีกสูงสุดในปีนี้เท่านั้น ขณะที่เพื่อนร่วมรุ่นอีกทีมอย่าง Leicester City ก็ยังถือว่าไม่ปลอดภัยซะทีเดียว แม้หลังๆจะฟอร์มดีขึ้นผิดหูผิดตาก็ตาม
บรรยากาศด้านนอก King Power Stadium

ผมเชื่อว่าคนไทยหลายๆคนแอบเอาใจช่วยให้ Leicester City ที่มีเจ้าของเป็นคนไทยเอาตัวรอดและได้ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลหน้า ซึ่งก็มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวเพราะจากที่อมบ๊วยอยู่ท้ายตารางกว่า 5 เดือนไล่ตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน ยาวมาจนถึงเดือนมีนาคมจนช่วงนั้นใครก็คิดว่า หมาจิ้งจอก ตัวนี้จองศาลาไปเรียบร้อยแล้ว ทีไหนได้ เลสเตอร์ มีลูกฮึดชนะ 6 จาก 7 เกมหลังสุดขยับพรวดเดียวจากบ๊วยขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 15 มีแต้มเหนือโซนตกชั้น 3 แต้มขณะที่เหลือการแข่งขันอีกแค่ 2 เกม
ร้านขายของที่ระลึกที่สนาม ใช้ชื่อว่า City Fanstore

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาผมได้เข้าไปเป็นหนึ่งในสักขีพยานความร้อนแรงของ Leicester (ในฐานะเหยื่อ ฮาฮา) ซึ่งเปิดรัง King Power Stadium ต้อนรับการมาเยือนของนักบุญแดนใต้ Southampton ซึ่งเกมนี้มีความสำคัญต่อทั้งคู่เพราะ เจ้าบ้านต้องการสามแต้มเพื่อความอยู่รอด ขณะที่ทีมเยือนต้องการชัยชนะเพื่อทำอันดับไปเล่นในฟุตบอลยุโรปฤดูกาลหน้า
หนังสือโปรแกรม (3ปอนด์) กับตั๋วเกมนัดนี้ (35ปอนด์)

ไลน์อัพของ The foxes มาในระบบ 3-4-1-2 มี Kasper Schmeichel เป็นผู้รักษาประตู แผงหลังใช้เซ็นเตอร์สามคนอย่าง Robert Huth, Wes Morgan, และ Marcin Wasilewski กองกลาง 4 ตัวมี Jeffrey Schlupp กับ Esteban Cambiasso ยืนริมเส้นส่วน Matt James กับ Marc Albrighton คอยปั้นเกมเดนกลาง แผงกองหน้าใช้บริการคู่หูอย่าง Riyad Mahrez กับ Leonardo Ulloa โดยมี Jamie Vardy คอยสนับสนุนอยู่ด้านหลัง

ทางฟากทีมเยือน Ronald Koeman ปวดหัวไม่น้อยกับปัญหาการขาดผู้เล่น จัดทัพในระบบ 4-2-3-1 เหมือนเดิม ผู้รักษาประตูให้โอกาส Gazzaniga ได้ลงประเดิมสนามเกมแรกในลีกปีนี้หลังจากพักหลัง Kelvin Davis ไม่สามารถพึ่งพาได้ซักเท่าไหร่ แผงแบ็คโฟร์ที่เป็นจุดแข็งของทีมวันนี้อยู่กันครบ ไล่ตั้งแต่แบ็คซ้ายขวาอย่าง Ryan Bertrand กับ Nathaniel Clyne  เซ็นเตอร์เป็น Fonte กับ Alderweireld กองกลางขาด Schneiderlin และ James Ward-Prowse ต้องใช้บริการ Victor Wanyama ทำเกมร่วมกับ Harrison Reed แนวรุกมี Sadio Mane, Steven Davis, Eljero Elia โดยส่ง Graziano Pelle เป็นหน้าเป้า
บรรยากาศหน้าสนาม King Power Stadium

ก่อนเกมบรรยากาศใน King Power ดูคึกคักเอามากๆ แฟนบอลเจ้าถิ่นในสนามส่งเสียงให้กำลังใจนักเตะอยู่ตลอดเวลา ส่วนสาวกนักบุญที่ตามขึ้นมาจากแดนใต้วันนี้ถูกจับอยู่ตรง stand มุมธงขนาบด้วยกองเชียร์ที่ต้นเสียงของฝั่งเจ้าบ้าน งานนี้เลยดูจะเป็นงานหนักของทั้งนักเตะที่ต้องสู้กับฝ่ายตรงข้ามที่กำลังคึกสุดๆ ขณะที่กองเชียร์ก็ต้องมาดวลกับแฟนบอลกว่าสามหมื่นคนแถมยังมีกลองอีกต่างหาก (ปกติแล้วแฟนบอลในอังกฤษจะไม่นิยมใช้กลองเท่าไหร่ เพิ่งจะเห็นที่ King Power Stadium นี่แหละครับ)
นักเตะทั้งสองทีมเดินลงสู่สนาม

เริ่มเกมเจ้าบ้านเปิดเกมบุกเข้าใส่ตามเสียงเชียร์ แล้วก็มาได้ประตูออกนำอย่างรวดเร็ว จากจังหวะที่ Riyad Mahrez ศูนย์หน้าชาว แอลจีเรีย ซัดจากหน้ากรอบเขตโทษ บอลพุ่งผ่านมือ Gazzaniga เข้าไปอย่างง่ายดาย หลังจากเวลาผ่านไปแค่ 6 นาทีเท่านั้น กองเชียร์เจ้าถิ่นจากที่คึกอยู่แล้วกลายเป็นคลั่งขึ้นมาทันที ส่วนกองเชียร์ทีมเยือนมองหน้ากันเลิกลั่ก อะไรมันจะง่ายดายปานนั้น ซึ่งหลังจากที่เสียประตูไปเกมของนักบุญก็ยังไม่กระเตื้อง จ่ายบอลขาดๆเกินๆ ดูแล้วไม่เหมือน Southampton ที่เคยเป็น มันก็น่าคิดเหมือนกันว่านักเตะหลายๆคนใจไม่อยู่กับสโมสรแล้ว อย่างที่ Koeman ตั้งข้อสงสัยกับผลงานช่วงหลังรึปล่าว
บรรยากาศใน King Power Stadium

หลังจากที่นวดอยู่พักใหญ่ Leicester ก็มาบวกประตูที่สองได้จากจังหวะที่ Gazzaniga เตะเปิดเกมจากบอลที่ส่งคืนหลังธรรมดาๆไม่ดี บอลไปเข้าทางนักเตะเจ้าบ้านก่อนจังหวะสุดท้ายจะเป็น Mahrez เจ้าเก่าที่ลงโทษได้อย่างสาสม Leicester หนีห่างออกไปเป็น 2-0 พร้อมกับความหวังในการอยู่รอดที่ดูสดใสขึ้นเรื่อยๆ ส่วนเป้าหมายการไปเล่นฟุตบอลยุโรปของทีมเยือนดูเหมือนจะเป็นเครื่องหมายคำถามตัวโต หลังจากที่ฟอร์มหลังแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่ 6 นัดหลังสุดเก็บได้เพียง 4 แต้มเท่านั้น

พูดถึงฟอร์มการเล่นของ Gazzaniga ในนี้นัดนี้ แฟนบอลนักบุญอาจจะได้เห็นผู้รักษาประตูคนใหม่ในช่วงหน้าร้อนนี้เนื่องจาก Fraser Foster ยังต้องพักยาวไม่รู้ว่าจะกลับมาได้ตอนไหน ในขณะที่ Kelvin Davis ผู้รักษาประตูวัย 40 ก็น่าจะใกล้ถึงเวลาปลดระวางเต็มทน ส่วน Gazzaniga รายนี้ดูแล้วคงจะเกิดยากแล้วล่ะครับ เพราะถึงแม้แกจะดูหน่วยก้านดีสูงใหญ่ใช้ได้ แต่ทุกครั้งที่ได้รับโอกาส แกไม่เคยตอบแทนความไว้วางใจได้เลย เพราะหลายๆครั้งแค่คู่แข่งยิงให้ตรงกรอบเท่านั้นแหละก็ได้ประตูแล้ว
Kasper Schmeichel วันนี้ไม่เจองานยากเท่าไหร่นัก

จบครึ่งแรกด้วยสกอร์ 2-0 ดูแล้วเป็นงานหนักของ Ronald Koeman ที่จะต้องแก้เกมเพราะตัวเลือกมีจำกัดเหลือเกิน ทางเลือกในแนวรุกที่เหลือก็มีแค่ Shane Long กับ Pilip Duricic ที่ยืมมาจาก Benfica แต่ก็ยังไม่เป็นชิ้นเป็นอันอะไร ครึ่งหลังกลับลงไปเล่น Ronald Koeman ก็ขยับเปลี่ยนตัวตามที่คาดคือส่ง Long กับ Duricic ลงไปเล่นแทน Elia กับ Davis ซึ่งก็ทำให้เกมกระเตื้องขึ้นมาหน่อยนึง โดยเฉพาะ รายหลังที่ลงมาแล้วทำให้เกมจากแดนกลางไปยังแดนหน้าไหลลื่นขึ้น แต่จังหวะสุดท้ายยังขาดความเด็ดขาด โดยเฉพาะ Pelle ที่วันนี้จะเหมือนยืนผิดที่ผิดเวลาอยู่ตลอด (อีกแล้ว)

ขณะที่ Leicester City ในครึ่งหลังขยับลงไปคุมพื้นที่ในแดนตัวเองมากขึ้นเพื่อรักษาสกอร์ ซึ่งก็ทำได้ดีโดยนักเตะทุกคนช่วยกันเล่นช่วยกันไล่ จนนักบุญทำอะไรได้ไม่ถนัดนัก สุดท้ายสุนัขจิ้งจองกัดนักบุญจมเขี้ยวเก็บสามเต็มในบ้านได้สำเร็จขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 15 โอกาสอยู่รอดต่อไปมีสูงทีเดียว ชัยชนะในนัดนี้ คงต้องยกเครดิตให้ Nigel Pearson ผู้จัดการทีมที่วางแผนมาจัดการกับเกมรุกของ Southampton ได้อยู่หมัดรวมถึงนักเตะที่รวมพลังวิ่งสู้ฟัดจนเก็บชัยชนะได้สำเร็จ
แฟนบอลทยอยออกจากสนามหลังจบเกม


แต่สิ่งที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดก็คือผู้เล่นคนที่สิบสองใน King Power Stadium ทุกคนรวมใจกันเป็นหนึ่งเดียวและก็เชียร์กันได้อย่างมีพลังจริงๆ เสียงเชียร์จากทั้งสี่ด้านของสนาม ย้ำว่าจากทั้งสี่ด้าน!! ดังกระหึ่มพร้อมๆกันระลอกแล้วระลอกเล่าเป็นพลังคอยขับเคลื่อนให้สิบเอ็ดนักเตะในสนามสู้ตายถวายหัว ผมบอกได้เลยว่าชั่วโมงนี้เลสเตอร์เล่นในบ้าน กับบรรยากาศแบบนี้พวกเขาพร้อมชนทุกทีมครับ กองเชียร์ของ Leicester น่ะเยี่ยมยอดถึงขนาดที่ว่าหลังจบเกมแฟนบอลของ Southampton หลายๆคนยังต้องยอมปรบมือให้กับความยอดเยี่ยมของแฟนบอลเจ้าถิ่น มันเป็นสิ่งที่เห็นได้ไม่บ่อยนักในฟุตบอลอังกฤษที่แฟนบอลจะปรบมือให้กับความยอดเยี่ยมของคู่แข่ง และตอนที่ผมได้ยินแฟน Leicester ตะโกน We are staying up หลังจบเกม มันทำให้ผมเชื่อเหลือเกินว่าสุนัขจิ้งจอกตัวนี้จะไม่ตามเพื่อนร่วมรุ่นลงไปเล่นใน The Championship ฤดูกาลหน้าแน่ๆ เพราะมันเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น ความศรัทธา และสิ่งที่เรียกว่า Passion จริงๆครับ

Sunday 3 May 2015

ฉบับผีเน่าคา Old Trafford

When Saturday Comes

“Late in May in 1999, Ole scored a goal in injury time,
what a feeling, what a night… oh what a night”


                สวัสดีครับเพื่อนๆทุกคน วันนี้มาแปลกด้วยการเริ่มต้นกันด้วยบทเพลงที่ถูกแฟนบอลปีศาจแดงหยิบมาร้องบ่อยที่สุดในสนามช่วงนี้เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของการเข้าสู่เดือนพฤษภาคม ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 1999 ซึ่งเป็นวันที่ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับสโมสร Manchester United จดจำไม่ลืม เมื่อปีศาจแดงก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของสโมสรหลังจากค่ำคืนมหัศจรรย์ที่ Camp Nou ซึ่งเด็กๆของ Sir Alex Ferguson สร้างปาฏิหาริย์ยิง 2 ประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ 3 นาทีแซงเอาชนะ Bayern Munich คว้าแชมป์ UCL สร้างประวัติศาสตร์เป็น Treble Champs ครั้งแรกและครั้งเดียวของสโมสรได้สำเร็จ

Sir Matt Busby Way ถนนที่มุ่งหน้าสู่ Old Trafford

               16 ปีให้หลัง Manchester United ภายใต้การทำทีมของ Louis Van Gaal ผู้จัดการทีมคนใหม่ที่ถูกดึงเข้ามาแก้วิกฤติจากความล้มเหลวในยุคของ David Moyes กำลังหาทางกลับสู่การแข่งขันในเวทียุโรปที่พวกเขาคุ้นเคยอีกครั้ง หลังจากอดไปโชว์ฝีเท้าเป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปี โจทย์ของ LVG ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากพาทีมจบ top 4 ให้ได้ พร้อมทั้งงบในการซื้อผู้เล่นที่บอร์ดบริหารประเคนให้มากเป็นประวัติศาสตร์ของสโมสรถึงกว่า 150 ล้านปอนด์ (ตอนที่ Sir Alex Ferguson พาทีมคว้า 3 แชมป์ใช้เงินไปแค่ 17 ล้านปอนด์เท่านั้น)

ร้านขายอาหารบนถนน Busby Way

            เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้เข้าไปดูลูกทีมของ LVG กับภารกิจกรุยทางกลับสู่เวทียุโรปอีกครั้ง โดยการแข่งขันนัดนี้เป็นการเล่นที่ Old Trafford ต้อนรับการมาเยือน West Bromwich Albion ทีมอันดับที่ 14 ในตาราง ก่อนเกมนี้จะเริ่มขึ้น ปีศาจแดงอยู่ในอันดับที่ 4 ของตาราง โดยมีคะแนนนำหน้า Liverpool ทีมในอันดับ 5 อยู่ 4 คะแนนหลังจากคู่ปรับจาก เมอร์ซี่ไซด์ เปิดบ้านเอาชนะ QPR ก่อนเกมนี้จะเริ่มประมาณครึ่งชั่วโมง ดังนั้นเงื่อนไขเดียวในเกมนี้ของ United คือต้องเอาชนะให้ได้ซึ่งดูแล้วก็ไม่น่าใช่งานยากอะไร เพราะทีมเยือนอย่าง WBA ก็ไม่น่าจะเน้นมากมายอะไรเพราะฤดูกาลนี้ไม่มีอะไรให้ลุ้นแล้ว

The Bishop Blaize ผับที่สาวกแมนยูต้องเข้าไปลองซักครั้ง

            สำหรับการซื้อบัตรเกมนี้ ผมซื้อจากเวปไซต์ของสโมสรในราคา 47 ปอนด์ ในส่วนของการซื้อบัตรนั้นจะต้องสมัครเป็นสมาชิกของสโมสรก่อนถึงจะมีสิทธิ์ซื้อได้ (ค่าสมาชิกปีละ 30 ปอนด์) โดยปกติแล้วตั๋วเข้าชมเกมของแมนยูจะเต็มล่วงหน้าตลอด แต่เกมนี้แปลกที่มีตั๋วเหลือเยอะพอสมควร ซึ่งพอเข้าไปสนามเลยถึงบางอ้อ เพราะเกมนี้ทีมเยือนมากันน้อยมาก ทางสโมสรเลยแบ่งตั๋วจากทีมเยือนมาขายให้แฟนบอลเจ้าบ้านเพิ่ม
หนังสือ Match day Programme กับตั๋วเกมนี้


            เรื่องการเดินทางสำหรับเกมนี้ก็ถือว่าสบายมากเพราะเตะในเมือง Manchester ซึ่งผมก็อยู่ที่นี่อยู่แล้วเลยไม่ต้องลำบากลำบนเดินทางกันครึ่งประเทศแบบนัดที่แล้ว ฮาฮา สำหรับสนาม Old Trafford ก็อยู่ออกนอกเมืองมาซักหน่อยซึ่งการเดินทางมาที่สนามก็ค่อนข้างสะดวกสบายเพราะสามารถเดินทางได้ทั้ง รถเมล์ รถไฟ แล้วก็  รถราง (ที่นี่จะเรียกรถรางว่า Tram) โดยที่วันนี้ผมใช้บริการของรถเมล์ใช้เวลาเดินทางจากกลางเมืองประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงสนาม

บรรยากาศหน้าสนามก่อนเกม

            สำหรับเกมวันนี้ก็เริ่ม Kick-off ตอน 4 โมงเย็นซึ่งถือเป็นคู่สุดท้ายประจำวัน โดยที่ก่อนเกมมีฝนตกลงมาเล็กน้อยทำให้วันนี้หนาวเป็นพิเศษตั้งแต่ยังไม่แข่ง Louis Van Gaal จัดทัพมาในระบบ 4-4-1-1 โดยผู้รักษาประตูเป็น David De Dea แผงหลัง 4 คนมี Valencia กับ Blind เป็นแบ็คสองข้าง คู่เซนเตอร์เป็น Paddy McNair ซึ่งผมเห็นตัวจริงแล้วตัวเล็กนิดเดียว ยืนคู่กับ Chist Smalling ซึ่งถึงแม้ชื่ออาจจะดูว่าเล็ก แต่จริงๆแล้วตัวใหญ่กว่าเยอะ =*= กองกลางวันนี้ถอย Rooney ที่เหมือนเป็นกองหน้าคนเดียวที่ยิงประตูได้ในตอนนี้ลงมาเล่นร่วมกับ Ander Herrera ขนาบข้างด้วย Mata กับ Ashley Young โดยมี Marouane Fellaini เล่นหน้าต่ำส่วน RVP Robin Van Persie สลัดเดี้ยงลงมาเป็นหน้าเป้า ส่วนผู้มาเยือนวันนี้ Tony Pulis มาในระบบ 4-5-1 โดยส่ง Darren Flecther กัปตันทีมลงสนามมาเจอทีมเก่า ส่วนกองหน้าทิ้ง Seido Berahino ไว้คอยป่วนแนวรับเจ้าบ้าน

แหล่งรวมแฟนบอลจากทั่วสารทิศ แก๊งนี้มาจาก โครเอเชีย

            สำหรับเหตุการณ์ต่างๆในสนามผมจะขออนุญาตบรรยายตามความรู้สึกเอานะครับ เพราะยอมรับตามตรงว่าจำรายละเอียดไม่ค่อยได้ คือมันซ้ำไปซ้ำมาตลอดทั้งเกม เดี๋ยวอ่านไปเรื่อยๆจะเข้าใจความรู้สึกผมครับ ฮาฮา เอาเป็นว่าเริ่มเกมขึ้นมา United เป็นฝ่ายครองเกมได้เป็นส่วนใหญ่ Rooney ที่ถูกถอยลงมาเล่นกองกลางวันนี้สามารถเชื่อมเกมจากซ้ายมาขวา ขวามาซ้ายได้ดี (จนเกินไป) รูปแบบการบุกของปีศาจแดงวันนี้คือการถ่ายบอลไปมาซ้ายขวาจนกว่าผู้ชมจะหลับ พอเคลิ้มๆจะหลับก็จะเคาะออกด้านข้างแล้วโยนบอลเข้ากลางโดยเป้าหมายไม่รู้เป็นใครแต่ที่แน่ๆไม่ใช่ Fellaini เพราะแกอยู่ตรงไหนบอลไปอีกทางตลอด

อีกมุมนึงของ Old Trafford

            โอกาสของเจ้าบ้านมีมาเป็นระยะๆแต่ทุกครั้งก็ดูไม่อันตรายเท่าที่ควร จังหวะที่ดีที่สุดน่าจะเป็นจังหวะที่ RVP กระโดดวอลเลย์บอลพุ่งเข้าซอง Boaz Myhill ไม่ลำบาก จังหวะนี้แหละเสียวสุดในครึ่งแรกแล้วสำหรับผม เห้อ ส่วนทีมเยือนก็มีหือมีอือบ้างในจังหวะเล่นลูกตั้งเตะ แต่โดยรวมแล้วถือว่าไม่น่าหนักใจอะไรสำหรับจอมหนึบอย่าง De Gea สุดท้ายจบครึ่งแรกไปแบบผมเกือบหลับ

            ในช่วงระหว่างพักผมนั่งนึกในใจ ครึ่งหลังแมนยูมันต้องเอาหน่อยวะ ครึ่งแรกเล่นแย่มาก ลิเวอร์พูลก็เพิ่งชนะ แถมก่อนหน้านี้สองเกมก็เพิ่งแพ้รวดมา ยังไงนัดนี้เล่นในบ้านก็ต้องบดเอาให้ได้ ครึ่งหลังเฮียกาว (นัดนี้ขออนุญาตผู้อ่านเรียก LVG ว่าเฮียกาวนะครับ) คือว่าครึ่งหลังเฮียกาวเนี่ยแก้เกมด้วยการถอย Robin Van Persie ลงมาเล่นกลางคู่กลับ Rooney แล้วดัน Fellaini ไปเป็นหน้าเป้า คุณพระ!! จังหวะที่เห็นทีแรกนี่ผมคิดว่าเฮียแกต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ คือบอลต้องการประตูแทนที่จะดัน Rooney ไปเล่นหน้าคู่ RVP นี่แกดันทำตรงข้ามจับมาเล่นคู่กันเหมือนกัน แต่ให้เป็นกลางคู่!!
มุมมองจากที่นั่งของผมในสนามวันนี้

            ว่าแล้วเกมกลางสนามของปีศาจแดงก็ดีขึ้นทันตาเห็น หลังจากแผงกองกลางจำเป็นสาธิตการถ่ายบอลจากซ้ายไปขวาขวาไปซ้ายอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้งด้วยอัตราความแม่นระดับ 90 เปอร์เซ็น จน WBA แทบไม่เจอบอล คือผมก็ไม่แน่ใจหรอกว่านักเตะทีมเยือนอยากได้บอลมาเล่นรึป่าว เพราะก็ปล่อยให้แมนยูเคาะไปซ้ายขวา ตัวเองยืนคุมโซนเอาง่ายดี แฟนบอลที่จะหลับๆช่วงครึ่งแรกตอนนี้ก็หลับได้ยาวๆเลยครับ ตื่นมาอีกทีหลังจากเกมผ่านไปราวๆ 1 ชั่วโมง จังหวะเกมสวนกลับของ The baggies บอลกำลังจะเข้าเขตโทษก่อน Paddy McNair จะมาสกัดเสีย Free kick หน้ากรอบเขตโทษระยะน่าจะราวๆ 20 ต้นๆหลา Chris Blunt รับหน้าที่วิ่งเข้ามาตะบันเต็มข้อบอลพุ่งแฉลบ Jonas Olson เข้าประตูไปแบบช็อกทั้งสนาม

            หลังจากเสียประตูไป United พยายามทวงคืนแต่เกมบุกดูเป็นมิติเดียวคือเคาะไปเรื่อยๆซ้ายขวาออกปีกแล้วเปิดเข้ากลาง วนลูปไปเรื่อยๆ จนในที่สุดโอกาสทองก็เกิดขึ้นหลังจากกองหลัง WBA ไปทำ Hand ball ในเขตโทษกรรมการเป่าให้เป็นจุดโทษ แต่ RVP ยิงไปติดเซฟ ชวดได้ประตูตีเสมอไปอย่างน่าเสียดาย โดยหลังจากนั้นก็กลับมาวนลูปเดิมจนสุดท้ายหมดเวลาแพ้คาบ้านไป 0-1 เป็นเกมที่น่าผิดหวังที่สุดตั้งแต่ผมเข้ามาดูเกมใน Old Trafford เลยซึ่งหลังจบเกมนี้ก็โดน Liverpool ในอันดับ 5 จี้มาเหลือแค่ 4 คะแนนขณะที่เหลือการแข่งขันอีก 3 นัด

แฟนบอลมายืนรอขอลายเซ็นนักเตะ


            ยังไงก็ตามถึงตรงนี้ผมก็ยังมั่นใจละครับว่า Manchester United จะไม่พลาดตั๋วใบสุดท้ายไปลุย UCL แน่นอนเพราะ Man utd ต้องพลาด 2 จาก 3 นัดส่วนหงส์แดงต้องชนะรวดซึ่งผมก็ตัดสินไม่ถูกว่าอันแรกกับอันหลังอันไหนมันยากกว่ากัน แต่ด้วยฟอร์มอย่างงี้ทรงบอลแบบนี้ ไปเล่นถ้วยใหญ่ก็ลำบากครับ คงจะอีกนานกว่าจะได้มีเหตุการณ์แบบ Ole Gunnar Solskjear ยิงประตูช่วงทดเจ็บมาให้แฟนๆได้แต่งเป็นเพลงร้องกัน เพราะถึงจะมี New Solskjear เกิดขึ้นมาในทีมยุคปัจจุบัน เฮียกาวแกก็จะจับมันไปเล่นกองกลางครับ เชื่อผม!!      

Saturday 25 April 2015

ฉบับเยือน St.Mary's

When Saturday Comes       

สวัสดีครับเพื่อนๆ วันเสาร์ที่ผ่านมาผมมีนัดกับ Southampton อีกครั้งครับ คราวนี้ผมเดินทางไปกลับร่วมๆ 800 กิโลเมตรจากเหนือลงใต้ เพื่อไปให้กำลังใจนักบุญทำศึกนัดสำคัญกับ Tottenham Hotspur โดยเกมนี้มีโอกาสการไปเล่นฟุตบอลยุโรปในปีหน้าเป็นเดิมพัน
ภายในรถโค้ช เบาะหนังนั่งสบาย

               ก่อนเกมนัดนี้มีเรื่องให้น่าพูดถึงนิดนึงคือเกม FA Cup รอบรองชนะเลิศที่ Liverpool พลิกล็อกแพ้ให้กับ Aston Villa ตกรอบไปแบบช็อควงการ ซึ่งเกมนัดนั้นนอกจาก Steven Gerrard ที่อกหักอดฉลองวันเกิดที่ Wembley แล้วแฟนๆนักบุญก็ผิดหวังไม่แพ้กัน เพราะถ้า FA Cup final เป็น Arsenal ชิงกับ Liverpool ตั๋วใบสุดท้ายไปเล่น Europa League จะเด้งกลับมาเป็นของทีมอันดับ 7 ในลีกทันทีซึ่งดูแล้วปีนี้นักบุญน่าจะจบอันดับ 7 เป็นอย่างน้อย แต่พอสถานกาณ์กลับตาลปัตรแบบนี้การต่อสู้แย่งอันดับ 6 เลยดุเดือดขึ้นมาทันทีเพราะนั่นหมายถึงการการันตีไปเล่นฟุตบอลยุโรปโดยไม่ต้องไปสนใจว่าใครจะเป็นแชมป์ FA Cup (ปีนี้ทาง Premier League เปลี่ยนกฎไม่ให้สิทธิรองแชมป์ FA Cup แล้วนะครับ)

ภายในตัวเมือง Southampton

               การเดินทางลงใต้คราวนี้ผมใช้บริการรถโค้ชครับ เหตุผลสั้นๆง่ายๆก็คือมันถูก (ไปกลับประมาณ 30 ปอนด์) แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการนั่งเปื่อยอยู่บนรถร่วมๆ 8 ชั่วโมง ก็อาศัยว่าออกเดินทางกลางคืนพอขึ้นรถได้ก็ตีตั๋วนอนยาวๆเลยครับ พูดถึงช่วงเดินทางก็มีติดขัดเล็กน้อยเพราะรถโค้ชขาจาก Manchester ลงมาที่ London มาสายร่วมๆชั่วโมง เล่นเอาใจหายใจคว่ำเกือบมาเปลี่ยนรถที่ London ต่อไปยัง Southampton ไม่ทัน ใครบอกรถที่นี่ตรงเวลาผมนี่เถียงขาดใจเลยเพราะมันเลทประจำ!!


               หลังจากลุ้นระทึกว่าจะทันไม่ทันสุดท้ายผมก็มาถึงเมือง Southampton จนได้ สำหรับผมนี่ก็เป็นครั้งที่ 4 แล้วที่ได้มาเยือนเมืองนี้ พูดถึง Southampton นี่ก็เป็นเมืองใหญ่พอสมควร คือถ้าเทียบแล้วถึงแม้จะเล็กกว่าเมืองหลักๆอย่าง London Manchester Birmingham แต่ก็ใหญ่กว่าเมืองทั่วไปอยู่พอควร ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ผับบาร์ มีครบ ผู้คนเมืองนี้ก็ดูสบายๆ รวมๆแล้วก็เป็นเมืองที่ไม่ใหญ่โตหวือหวาแต่ก็มีความน่าอยู่ในตัวของมันเอง (อารมณ์ Character เดียวกับทีมฟุตบอลเลย)
West Quay ห้างใหญ่ใน Southampton

               ก่อนเกมนี้จะเริ่มต้นขึ้นสถานการณ์ของทั้งสองทีมดูจะคล้ายๆกันคือ มีลุ้นโควต้า UCL อยู่พักนึงแต่สุดท้ายก็ทนแรงเสียดทานไม่ไหว ตอนนี้การไปเล่นในรายการ Europa League จึงเป็นเป้าหมายที่เป็นไปได้ที่สุดของทั้งสองทีม โดยหลังจากเหตุการณ์พลิกล็อกสะท้าน Wembley สะเทือนมาถึง St.Mary's ทำให้เป้าหมายของทั้งคู่เปลี่ยนไป โดยโจทย์ของทั้งสองทีมต่างกันนิดหน่อยตรงที่ สเปอร์สเจ้าของพื้นที่อันดับ 6 ขออย่างน้อย 1 คะแนนเพื่อรักษาพื้นที่ตัวเองเอาไว้ ส่วน Southampton ในอันดับ 7 ไม่มี choice อื่นต้องเดินหน้าเก็บสามแต้มเพื่อแซงไก่เดือยทองขึ้นไปให้ได้สถานเดียว

อัตราต่อรองวันนี้ใครแทง Pelle score first ไปรวยเลย

               สำหรับเกมนี้เริ่ม kickoff ตอน 12.45 ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิดนี่เป็นครั้งแรกของปีนี้เลยมั้งครับที่ นักบุญเล่นเป็นคู่แรกของสัปดาห์ ซึ่งแฟนบอลหลายคนก็ดูจะปรับตัวไม่ทันบอลจะเขี่ยอยู่แล้วยังค้างอยู่นอกสนามอยู่เลย รวมถึงผมด้วย ฮาฮา Line up ของ Southampton วันนี้ก็ไม่มีอะไรเซอร์ไพรซ์ Ronald Koeman ยังคงยึดระบบ 4-3-3 เป็นหลักใช้ผู้เล่นชุดเดิมจากเกมพ่าย Stoke โดยเปลี่ยนแค่ตำแหน่งเดียวเอา Dusan Tadic กลับเข้ากรุแล้วส่ง JWP James Ward-Prowse ลงมาเล่นแทน ส่วนในรายของ Victor Wanyama กลางรับสายแทงค์หมดสิทธ์ลงสนามต้องชดใช้โทษแบนเป็นนัดสุดท้าย โดยมี Alderweirald ผ่านความฟิตหลังจากโดนหามออกจากสนามในเกมกับ Stoke เมื่ออาทิตย์ที่แล้วลงเล่นแทน ซึ่งหลังเกมเจ้าตัวให้สัมภาษณ์ว่า "จริงๆแล้วผมก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่นะ แต่เกมนี้เป็นเกมสำคัญ ที่ลงมาก็เพื่อทีม และแฟนบอลเลยนะเนี่ย" แหมใจขนาดนี้อยากจะส่งเพลง อยู่ต่อเลยได้ไหมไปให้จริงๆ

Ted Bates ผู้เป็นทุกอย่างของทีมจนได้ฉายา "Mr.Southampton"

               ทางฝั่ง Mauricio Pochettino กลับมาเยือนถิ่นเก่าคราวนี้ (แน่นอนว่าพร้อมกับเสียงโห่) เลือกเล่นในระบบ 4-3-3 เช่นเดียวกัน โดยผู้รักษาประตูได้ Hugo Lloris หายเจ็บกลับมาเฝ้าเสา แบ็คซ้าย Danny Rose เจ็บมาจากเกมเจอ Newcastle เล่นไม่ไหวต้องใช้บริการ Ben Devies แทน ส่วนในเกมรุกความหวังสูงสุดในแดนหน้าเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Harry Kane ที่เพิ่งกดประตูที่ 30 ในฤดูกาลของตัวเองไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว โดยมี Cristian Eriksen, Erik Lamela, และ Nacer Chadli ปั้นเกมอยู่ด้านหลัง

หน้าสนาม St.Mary's Stadium

               สถิติส่วนตัวของผมก่อนเกมนี้ผมเข้าไปดู Southampton เล่น 3 นัดหลังสุดผลออกมานักบุญแพ้รวดทั้ง 3 นัดเรียกว่า สถิติอีแร้งสุดๆ เข้าแก๊งไหนหัวหน้าตายเรียบว่างั้น แต่วันนี้แอบมั่นใจลึกๆว่าต้องชนะบ้างล่ะน่า ที่มั่นใจนี่ก็ไม่ไดัมีเหตุผลอะไรหรอกครับ ความรู้สึกล้วนๆ เมื่อมั่นใจขนาดนี้ก็ตรงเข้าคูหา กา Southampton to win ไป 9 ปอนด์ ในอัตราแทง 20 จ่าย 21 อารมณ์รอรับทรัพย์แน่นอน ฮิฮิ

               เล่นไปเล่นมาเหมือนความรู้สึกผมมันจะถูกจริงๆ เมื่อ Graziano Pelle ที่ผมไม่เห็นแกยิงมาเป็นแรมปี (คือนัดไหนยิงผมก็ไม่ได้เข้าไปดู) ยิงประตูเบิกร่องให้นักบุญนำไปก่อนเมื่อเกมผ่านไปครึ่งชั่วโมง จากจังหวะที่กองหลังสเปอร์สซักคนลื่นล้ม (ซึ่งก็ไม่สนใจว่าเป็นใคร ขอเฮก่อนนาทีนี้) แล้ว Pelle เลยฉกไปยิงผ่านมือนายด่านทีมชาติฝรั่งเศสเข้าไปง่ายๆ
March As One

               พอได้ประตูนำ Southampton ก็ดูผ่อนเกมลง แต่ก็ยังมีโอกาสเป็นระยะๆ ส่วนสเปอร์สวันนี้ก็มาเปิดเกมแลกทำให้เกมสนุกทีเดียว แต่แล้วก่อนที่จะหมดครึ่งแรกไม่กี่อึดใจกองเชียร์ The Saints ที่วันนี้เสียงดังแบบพิเศษใส่ไข่ก็ต้องเงียบกริบทั้งสนามเมื่อทีมเยือนจากเมืองหลวงมาได้ประตูตีเสมอแบบมีเฮงนิดๆ โดยบอลขึ้นเกมมาทางริมเส้นก่อนโยนเข้ากลาง Harry Kane โฉบมาโหม่งไม่โดน บอลลอยมาถึง Lamela ทำอีท่าไหนไม่รู้บอลเข้าประตูไป มาตอนหลังถึงได้รู้ว่ามันแฮนด์บอล แต่ไปโทษกรรมการก็ไม่ได้หรอก เพราะในสนามก็ยังไม่มีใครเอะใจประท้วง คืออย่างมากก็แค่คิดว่ามันล้ำหน้ารึป่าวแค่นั้น เกมกลับมาเท่ากันที่ 1-1 พร้อมกับเสียงนกหวีดหมดครึ่งแรก

แฟนบอลเข้ามาเต็มความจุ 32,000 กว่าที่นั่ง

               ครึ่งหลัง นักบุญแดนใต้ที่ไม่มีทางเลือกต้องตบเกียร์ 5 เดินหน้าลูกเดียว โหมบุกเข้าใส่ทีมเยือนอย่างหนัก ขณะที่สเปอร์สก็เป็นทีมที่ถอยไม่ค่อยจะเป็นอยู่แล้ว รูปเกมก็เลยออกมาแบบนักมวยยืนแลกหมัดกันกลางเวทีอยู่ที่ว่าใครจะหมัดหนักกว่ากัน จนกระทั่ง Southampton ได้ประตูขึ้นนำอีกครั้งจาก Pelle เจ้าเก่าที่พุ่งโหม่งบอลครอสจากริมเส้นของ Shane Long สำรองที่ลงมาใหม่ บอลพุ่งผ่านมือ Lloris เข้าไปอีกรอบ Southampton นำอีกครั้งเป็น 2-1

Northam Stand ทีมเหย้ากับทีมเยือนแบ่งครึ่งกัน

               หากเกมจบด้วยสกอร์นี้ Southampton จะแซงไก่เดือยทองขึ้นไปอยู่อันดับ 6 ทันทีแต่จนแล้วจนรอดก็มาถูกตีเสมออีกจนได้จากจังหวะที่ปล่อยให้ Eric Dier เซ็นเตอร์ฮาล์ฟกุ๊กไก่เลี้ยงทำเกมขึ้นมาถึงหน้ากรอบเขตโทษง่ายๆ ก่อนไหลออกไปให้ Nacer Chadli ยิงมุมแคบเข้าไปง่ายๆ ชนิดที่กล้าพนันว่าถ้าคนเฝ้าเสาเป็น Fraser Foster ลูกนี้จะไม่เป็นประตูแน่นอน คือไม่ได้โทษประตูนะครับ มันตั้งแต่แดนกลางที่ไม่มีใครไปบีบ Dier แล้ว แต่อย่างน้อยๆ ผู้รักษาประตูควรจะทำได้ดีกว่านี้ ฝรั่งข้างๆผมถึงกับโอดครวญว่าลูกนี้มัน Soft Goal มากๆ

เกมจบลงด้วยสกอร์ 2-2

               สุดท้ายเป็น ไก่เดือยทองที่วันนี้ทั้งเกมมีโอกาสยิงเข้ากรอบแค่ 2 ครั้งแต่กลับได้ถึง 2 ประตูบุกมาแบ่ง 1 แต้มอันล้ำค่าออกจาก St.Mary's ในวันที่ Southampton เล่นได้ดีมากๆเกมนึงในฤดูกาลนี้ไปได้ ถามว่าเสียใจมั๊ย ถ้าไม่นับเงิน 9 ปอนด์ก็ไม่เสียใจเลยครับ วันนี้ Southampton พยายามทุกอย่างแล้ว นักเตะเต็มที่ กองเชียร์ก็เต็มที่ (ผมว่าวันนี้ St.Mary's เสียงดังที่สุดเท่าที่ผมเคยสัมผัสมาเลยนะ) สุดท้ายฟุตบอลมันก็แบบนี้การเล่นดีก็ไม่ได้การันตีว่าคุณจะชนะ แต่ในความรู้สึกของผมวันนี้ Southampton เป็นผู้ชนะครับ ชนะในแง่ของการพิสูจน์ว่าการมายืนอยู่ตรงจุดนี้ของตารางไม่ได้มาด้วยโชคช่วย แต่มาตรฐานของทีมดีพอจะสู้กับทุกทีมจริงๆ แค่นี้ก็ภูมิใจมากแล้วครับ

                หลังจบเกมพอดีมีเวลาว่างช่วงรอเวลาขึ้นรถกลับ Manchester เลยไปยืนรอขอลายเซ็นนักเตะ ซึ่งใครเป็นแฟนบอล Southampton แล้วอยากได้ลายเซ็นนี่จบเกมให้เดินไปรอที่ลานจอดรถด้านหลังสนามครับ นักเตะจะออกมาทางนั้น ส่วนด้านหน้าสนามที่ยืนรอกันเยอะๆอันนี้จะเป็นทีมเยือนครับ ตอนที่ผมไปรอนี่คนอื่นๆยังไม่ออกมามีแค่ Elia ที่ออกมาก่อน ซึ่งก็ต้องบอกว่า Elia แก nice กับแฟนบอลมากๆเลย เพราะแกเล่นแจกครบทุกคน ซึ่งใช้เวลาร่วมๆครึ่งชั่วโมงกว่าจะเสร็จ เยี่ยมจริงๆ

Eljero Elia แบบชัดๆ


               อาทิตย์หน้าผมคงเว้นวรรคจาก Southampton ไปซักพักนึงเผื่ออะไรๆจะดีขึ้น 555 คราวนี้เปลี่ยนบรรยากาศไปที่โรงละครแห่งความฝันกันบ้าง ไปเอาใจช่วยอีกหนึ่งทีมโปรดของผม Manchester United เปิดบ้านรับมือทีมฟอร์มร้อนสิงผงาด Aston Villa ในภารกิจคว้าตั๋วกลับสู่ UEFA Champions Leagues ให้ได้ยังไงอย่าลืมติดตามนะครับ

Sunday 19 April 2015

ฉบับเยือน Britania

When Saturday Comes

สวัสดีครับเพื่อนๆ กลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา เป็นยังไงกันบ้างครับ หลายๆคนก็คงจะได้สนุกกับการเล่นน้ำ ส่วนใครที่ไม่นิยมเปียกก็คงจะได้ใช้วันหยุดพักผ่อนอยู่บ้านเพื่อชาร์จแบตเตอร์รี่ให้ตัวเองสำหรับเตรียมลุยภารกิจต่อไป สำหรับผมแล้วนี่ก็เป็นสงกรานต์แรกในชีวิตที่ไม่ได้หยุดเหมือนคนอื่นเค้า แต่ก็ไม่เป็นไร คิดซะว่าจะได้มีเวลามากขึ้นในการเขียนบทความฉบับนี้ละกันครับ ^^

            สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเกม Premier League ก็ยังคงมีเตะตามปกติรวมไปถึง FA Cup ที่มาถึงรอบตัดเชือกแล้ว ผลเป็นอย่างไร ใครขยับขึ้นลงบนตารางบ้าง ใครจะเป็นคู่ชิงที่ Wembley นั้นก็คงจะได้ผ่านตาเพื่อนๆกันไปบ้างแล้วนะครับ ก็เรียกได้ว่าช่วงนี้เป็นโค้งสุดท้ายของฟุตบอลอังกฤษแล้วจริงๆ แต้มแต่ละแต้มช่วงนี้มีความหมายมากเป็นพิเศษ สำหรับบางทีมก็เพื่อลุ้นแชมป์ บางทีมก็เพื่อรักษาสถานะในลีกสูงสุดของตัวเองเอาไว้ แต่ละทีมก็มีเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไปครับ
 
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาผมมีนัดกับ Southampton อีกหนึ่งทีมเล็กๆจากแดนใต้ที่ยังคงต่อสู้ท่ามกลางเหล่าขาใหญ่ในลีกเมืองผู้ดี เพื่อความหวังในการไปเล่นฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีนับจากครั้งสุดท้ายที่ได้เป็นตัวแทนของประเทศไปแข่งในถ้วยใบรองของยุโรปในฤดูกาล 2003-2004 ในฐานะรองแชมป์ FA Cup (ตั้งแต่สมัยยังใช้ชื่อว่า UEFA Cup อยู่เลย)

หนังสือ Match day programme กับตั๋วนัดนี้

สำหรับการเดินทางครั้งนี้ผมใช้บริการรถไฟจาก Manchester ลงไปที่ Stoke-on-Trent โดยใช้เวลาเดินทางแค่ 40 นาทีเพราะทั้งสองเมืองอยู่ทางตอนเหนือของอังกฤษเหมือนกัน ส่วนการเดินทางจากสถานีรถไฟต่อไปยังสนาม Britania เนี่ยต้องเดินต่ออีกประมาณ 40 นาทีครับ  เพราะตัวสนามจะอยู่ออกนอกเมืองมา (พอๆกับรถไฟตอนขามาเลย ฮาฮา) ส่วนถ้าใครไม่สะดวกเดินก็สามารถใช้รถเมล์สาย 20 จากหน้าสถานีรถไฟมาลงที่สนามใช้เวลาประมาณ 10 นาทีครับ (ในเว็บไซต์สโมสรเค้าว่ามาอย่างงั้นนา)

สถานี Stoke-on-Trent

Britania Stadium บ้านของ Stoke City นั้นมีชื่อเสียงอยู่ 2 เรื่องครับคือเรื่องของเสียงเชียร์ที่ว่ากันว่าดังที่สุดในพรีเมียร์ลีกทั้งๆที่มีความจุแค่ 27,000 กว่าคน ส่วนอีกเรื่องคือลมที่นี่แรงมาก (ที่สุดในพรีเมียร์ลีกรึปล่าวไม่รู้นะ เพราะไม่เคยมีใครไปวัด ฮาฮา) ซึ่งพอมาได้เห็นตัวสนามจริงๆเลยถึงบางอ้อ เพราะตัวสนามมันตั้งอยู่บนเนินเขาลมตรงนี้ก็เลยแรงเป็นพิเศษ แรงถึงขนาดที่ว่า Arthur Boruc นายทวารของ Southampton ที่ปีนี้ถูกปล่อยยืมไปอยู่กับ Bournemouth เคยเสียท่าให้กับ Asmir Bekovic ผู้รักษาประตูของฝั่ง Stoke ที่เตะบอลจากปากประตูตัวเองข้ามหัว Boruc เข้าไปเป็นประตูมาแล้ว

Britania Stadium รังเหย้าของ Stoke City

พูดถึงสถานการณ์ 6 นัดสุดท้ายของ Southampton กันซักหน่อย ก่อนเกมนัดนี้กับ Stoke City นั้นทีมนักบุญอยู่ในอันดับ 6 ของตารางมีแต้มตามหลัง Manchester City ที่รั้งอันดับ 4 อยู่ 5 แต้ม ซึ่งแน่นอนว่าสถานการณ์แบบนี้แฟนๆนักบุญมีสิทธิ์ฝันไกลถึงการไปเตะ UCL ในฤดูกาลหน้าได้เหมือนกันเพราะหากลูกทีมของ Ronald Koeman เก็บชัยชนะได้ทั้งหมดโอกาสไปแชมเปียนลีกส์ก็มีความเป็นไปได้พอสมควรเพราะ 1 ใน 6 นัดที่ว่าเป็นการวัดกันกับเรือใบสีฟ้าในนัดสุดท้ายของฤดูกาลด้วย

อีกมุมจากสนาม Britania Stadium

ก่อนเกมที่ Britania นักข่าวที่นี่ยังมองว่า Southampton ยังเป็น 1 แคนดิเดตในการแย่งชิงตั๋วใบสุดท้ายไป UCL ฤดูกาลหน้าร่วมกับ Manchester City และ Liverpool โดยเฉพาะช่วงหลังที่เรือใบสีฟ้าแสดงอาการ ไม่เอาอ่าว ให้เห็นทำให้ทีมที่ตามหลังมามีลุ้นกันเป็นแถบ แต่ Ronald Koeman กุนซือร่างบึ้กของ Southampton กลับมองว่าโอกาสจริงๆของทีมตนเองอยู่ที่การไปเตะ Europa League มากกว่า เจ้าตัวให้สัมภาษณ์ก่อนเกมว่าโอกาสการไปเตะ UCL ยังคงมีอยู่นิดๆเสมอ (หลังจากที่นักข่าวถามว่าอาการฟอร์มเป๋ของ City ทำให้โอกาสในการเป็นเล่น UCL เปิดกว้างขึ้นหรือไม่) แต่มันก็เป็นเรื่องยากเพราะการไปเล่น UCL เป็นเรื่องของทีมใหญ่ ส่วนตัวเขารู้ระดับของทีมตัวเองดี ส่วนตัวผมเห็นด้วยกับแกนะ คือศักยภาพตัวผู้เล่นในตอนนี้ของ Southampton มันไปวัดกับอีก 2 บิ๊กทีมลำบาก การมองโลกตามความเป็นจริงจึงเป็นการลดแรงกดดันไปในตัว (แค่เท่าที่เป็นอยู่นี้ก็กดดันมากแล้ว)
Shop ภายในสนาม

สำหรับเกมนัดนี้กองเชียร์ทีมเยือนนถูกจัดให้นั่งที่ Marston's Pedigree Stand ซึ่งเป็นอัฒจันทร์หลังประตูฝั่งทิศใต้ซึ่งกันที่ครึ่งนึงไว้ให้ทีมเยือน โดยตั๋วนัดนี้ผมซื้อจากเว็บไซต์สโมสรของ Southampton สนนราคาอยู่ที่ 25 ปอนด์ครับ (คิดเป็นเงินไทยก็ราวๆ พันนิดๆ)  ข้อดีอย่างนึงของสนามฟุตบอลในอังกฤษคือทุกสนามที่ผมเคยไปเยือนมานั้นเป็น Football Stadium พูดง่ายๆก็คือรอบๆสนามจะไม่มีลู่วิ่งทำให้การนั่งหลังประตูก็ได้อรรถรสเหมือนๆกับการนั่งข้างสนามเลยครับ

มุมมองจาก Marston's Pedigree Stand

การจัด 11 คนแรกของ Southampton วันนี้มีปัญหานิดหน่อยเนื่องจากการติดโทษแบนจากการรับใบเหลืองครบกำหนดในเกมกับ Hull City ของ Victor Wanyama ห้องเครื่องสายถึก ทำให้วันนี้ Ronald Koeman ต้องขยับ Toby Alderweirald ขึ้นมายืนกลางรับจำเป็นร่วมกับ Morgan Schneiderlin แล้วส่ง Maya Yoshida กองหลังเลือดซามูไรยืนเป็นเซ็นเตอร์คู่กับ Jose Fonte กัปตันทีมโดยมี Ryan Bertrand กับ Nathaniel Clyne ขนาบข้างซ้ายขวา ส่วนในแนวรุกวันนี้ใช้สามประสานอย่าง Steven Davis, Sadio Mane, และ Dusan Tadic ที่เบียด Shane Long กลับไปนั่งสำรอง แล้วทิ้ง Graziano Pelle เป็นหน้าเป้าหลังจากที่เจ้าตัวเพิ่งทำประตูปลดล็อกให้ตัวเองในนัดที่แล้วหลังปืนฝืดมาตั้งแต่เดือนธันวาคม

ทางฝั่งเจ้าบ้านมาในระบบ 4-5-1 ผู้รักษาประตูเป็น Begovic กองหลัง 4 คนไล่จากซ้ายไปขวามี Phillipp Wollscheid, Ryan Shawcross, Erik Pieters, Geoff Cameron กองกลางมี Jonathan Walters, Marko Arnautovic, Glenn Whelan, Stephen Ireland, Stevan N’Zonzi โดยมีMame Diouf อดีตดาวดับของ Man United ยืนเป็นหัวหอก

นักเตะเดินลงสนาม

เริ่มเกมมาเป็น Stoke City ที่ 4 เกมหลังยังสะกดคำว่าชนะไม่เป็นครองเกมได้เหนือกว่า มีโอกาสได้ลุ้นเป็นระยะๆ ซึ่งวิธีการของเจ้าบ้านก็ไม่มีอะไรซับซ้อน เน้นการครอสบอลจากริมเส้นรวมถึงลูกตั้งเตะเข้าไปในกรอบเขตโทษแล้วอาศัยความสูงใหญ่ของตัวผู้เล่นเข้าโจมตี ขณะที่ทางฝั่งทีมเยือนดูเหมือนจะยังตั้งเกมของตัวเองไม่ได้ Toby Alderweirald ที่ขยับมายืนกองกลางจำเป็นดูเหมือนจะประสานงากับ Schneiderlin มากกว่าที่จะประสานงานทำให้เกมในแดนกลางของนักบุญดูจะเป็นรอง The Potters พอสมควร

Ronald Koeman แบบเห็นหลังไวๆ

เกมผ่านไป 22 นาทีกลับกลายเป็น Southampton ที่เป็นฝ่ายขึ้นนำจากลูกตั้งเตะ โดยได้ประตูจากจังหวะเล่นลูกเตะมุมทางด้านขวา Jose Fonte โฉบมาโหม่งตัดหน้ากองหลัง Stoke ที่เสาแรก บอลเลยมาเสาสอง Morgan Scheniderlin มิดฟิลด์ที่เป็นข่าวกับทีมใหญ่หลายทีมชาร์จจ่อๆเข้าไปง่ายๆ ความฝันในการไปเล่นฟุตบอลยุโรปดูเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนดีเหลือเกิน ว่ากันตามสถิติแล้วในพรีเมียร์ลีกปีนี้นักบุญยังไม่เคยแพ้แม้แต่เกมเดียวหากออกนำคู่ต่อสู้ไปก่อน

หลังจากมีประตูแรกในเกมรูปเกมกลับมาสูสีกัน โดยเจ้าถิ่นพยายามบุกหวังทวงประตูคืน แต่จังหวะสุดท้ายยังไม่ชัดเจนพอ ส่วน The Saints อาศัยความเร็วของ Mane ในจังหวะสวนกลับคอยเล่นงานกองหลัง Stoke ที่ค่อนข้างจะเชื่องช้าโดยเกือบจะได้ประตูนำห่างอยู่หลายครั้ง โดยรวมแล้ว Southampton ดูจะเป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ขณะที่กองเชียร์ที่ตามมาจากแดนใต้ราวๆ 2,000 ชีวิตร้องเพลงเตรียมไปบอลยุโรปกันแล้ว สนาม Britania เสียงดังจริงแต่เป็นเสียงของ The Saints ล้วนๆ ขณะที่กองเชียร์เจ้าบ้านนั่งเงียบเป็นป่าช้า ดูไม่เร่งเร้า ไม่กระตุ้นทีมเอาซะเลย หรือว่าเสียงเชียร์ที่ Britania จะมีแต่ชื่อ


Asmir Bekovic วันนี้เล่นได้ตามมาตรฐาน

ก่อนหมดครึ่งแรกไม่กี่อึดใจแฟนบอลเจ้าบ้านเกือบได้เฮบ้างเมื่อ Stoke City ได้ฟรีคิกก่อนเปิดบอลเข้ากรอบเขตโทษตามสเต็ป Geoff Cameron โขกเช็ดไปหน้าประตู บอลมาถึง N’Zonzi ที่แปจากระยะไม่เกิน 5 หลาออกข้างไปแบบเหลือเชื่อ อย่างไรก็ตามหลังจากได้เริ่มครึ่งหลักมาได้แค่ 2 นาทีเจ้าถิ่นก็ได้ประตูตีเสมอแบบงงๆ จากจังหวะที่ N’Zonzi เจ้าเก่าที่ไม่รู้ว่าจังหวะนี้โยนหรือยิง แต่ไม่ว่าจะโยนหรือยิงมันก็เป็นลูกที่ดูแย่เอามากๆ คือบอลมันลอยโด่งย้อยๆช้าๆเข้าหากรอบประตูแบบดูไร้พิษสงเป็นที่สุด แต่แล้ว Kelvin Davis ซึ่งลงมาทำหน้าที่แทน Fraser Foster ที่เจ็บปิดเทอมยาวไปแล้ว กลับพลิกโอกาสเป็นวิกฤติด้วยการกะจังหวะบอลพลาด (หรือจะเพราะลม) บอลที่ลอยมาแบบโด่งๆช้าๆนั้นเด้งไปชนคานก่อนตกลงมาเข้าทางปืนของ Mame Diouf ยิงเข้าไปแบบง่ายที่สุดในสามโลก กองเชียร์ The Potters เริ่มมีเสียงบ้างแล้ว ขณะที่กองเชียร์นักบุญสวนกลับไปแบบแสบๆ We Forgot that you were here เกือบลืมไปแล้วว่าพวกเอ็งอยู่ในสนามเหมือนกัน ฮาฮา

Pelle กับ Mane ความหวังในแดนหน้า

หลังจากเสียประตูไป Southampton พยายามบุกเข้าใส่อย่างหนักระลอกแล้วระลอกเล่าเพื่อหาประตูออกนำอีกครั้ง โอกาสที่ดีที่สุดมาในนาทีที่ 62 จาก Dusan Tadic ที่ยิงจากบริเวณจุดโทษกองหลัง Stoke สกัดข้ามเส้นรอดตัวหวุดหวิด หลังจากบุกอยู่นานสองนานแต่ทำไม่สำเร็จ Southampton ก็มาถูกลงโทษจากจังหวะโยนบอลเข้ากรอบเขตโทษ (อีกแล้ว) กองหลัง Southampton ที่ช่วยกันดีมาทั้งเกมสุดท้ายก็เสียท่าให้กับลูกโด่งของ Stoke City โดยสกัดลูกโยนฟรีคิกไม่ขาดบอลมาเข้าทาง Charlie Adam ฮาล์ฟวอลเลย์ในกรอบเขตโทษทางขวาบอลพุ่งวาบผ่านมือ Super Kelv เข้าไปตุงตาข่ายพร้อมกับดับความหวังในการไปเล่น UCL ของนักบุญให้จบลงแต่เพียงเท่านี้ วินาทีที่บอลซุกก้นตาข่ายมันเหมือน Britania Stadium แทบจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ เสียงเชียร์มันอื้ออึงไปหมดไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงเป็นสนามที่เสียงดังที่สุดในลีก เท่านี้ยังไม่พอท้ายเกม Southampton ยังมาเสีย Alderweirald ที่ไปปะทะกับนักเตะ Stoke จนถูกหามออกไปในช่วงทดเวลาบาดเจ็บอีกซึ่งดูแล้วไม่น่าจะหายทันเกมกับ Tottenham สัปดาห์หน้าแน่ๆ

ผู้ชมที่ Britania Stadium วันนี้เกือบเต็มความจุ


สรุปแล้วความพ่ายแพ้ในเกมนี้เป็นเกมแรกที่ Southampton ออกนำไปก่อนแต่จบลงด้วยความพ่ายแพ้ ซึ่งก็ต้องโทษตัวเองที่แสดงให้เห็นถึงความไม่นิ่ง เอง หลังเกม Ronald Koeman ออกมาบอกว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับกับความพ่ายแพ้ในนัดนี้ แต่ฟุตบอลก็แบบนี้ ถ้ามีความผิดพลาดเกิดขึ้นอีกฝ่ายก็พร้อมจะลงโทษตลอดเวลาครับ หลังจากนี้ Southampton คงต้องลุ้นให้ Liverpool ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศ FA Cup กับ Arsenal ที่ผ่าน Reading เข้าไปรอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะนั่นหมายความว่าอันดับที่ 7 บนตารางพรีเมียร์ลีกจะได้ไปเตะ Europa League ฤดูกาลหน้าทันที ซึ่งดูแล้วยังไงนักบุญก็หลุดจากอันดับ 7 ยากครับเพราะนำหน้า Swansea City ทีมในอันดับ 8 อยู่ถึง 9 คะแนนขณะที่เหลือการแข่งขันอยู่อีกแค่ 5 นัด

ส่วนเรื่อง UCL Koeman ก็ประกาศยกธงขาวไปเรียบร้อยแล้วหลังเกม ซึ่งผมก็ยกธงขาวเหมือนกันเพราะหาก City เก็บสามแต้มได้ในวันอาทิตย์นี้ช่องว่างจะกลายเป็น 8 คะแนนทันทีดูยังไงก็ไม่มีทางเลย หลังจากนี้ก็คงเหลือแค่ Manchester City กับ Liverpool ที่แย่งอีกหนึ่งโควต้าสุดท้าย

อาทิตย์หน้าเราจะยังติดตามชะตากรรมของทีมนักบุญต่อไปนะครับ โดยที่ผมจะลงใต้ไปที่ St. Mary’s เพื่อดูเกมที่ Southampton เปิดบ้านต้อนรับ Tottenham Hotspur ซึ่งหลังเกมนัดนี้เราน่าจะได้บทสรุปแบบไม่เป็นทางการแล้วล่ะว่าฤดูกาลนี้ของนักบุญแดนใต้จะจบลงแบบไหน ยังไงก็อย่าลืมติดตามกันนะครับ สำหรับใครที่อ่านแล้วมีอะไรอยากพูดคุยแลกเปลี่ยนก็ยินดีมากๆครับ  

ปล. ก่อนจะจากกันไปผมขอแสดงความยินดีกับทีมชาติไทยที่ถูกจับฉลากไปอยู่ในกลุ่มที่ มีความเป็นไปได้ มากที่สุดกลุ่มนึงในการผ่านเข้าไปเล่นรอบ 12 ทีมสุดท้าย ก็ฝากซิโก้จัดหนักๆหน่อยนะครับอยากเห็นบอลไทยไปบอลโลกซักครั้ง
ปล2. ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของโค้ชแต๊กด้วยนะครับ การจากไปของโค้ชแต๊กถือเป็นการสูญเสียบุคคลากรอันมีค่าของวงการฟุตบอลไทยเลย หลับให้สบายนะครับโค้ช

Manchester, UK
19/4/15